21 ก.พ. เวลา 03:48 • ปรัชญา

”ประวัติศาสตร์พญานาคในฝั่งพระพุทธศาสนา“

หากกล่าวถึงคำว่าพญานาค หลายท่านคงจะนึกถึงประติมากรรมรูปงูใหญ่มีหงอนตามขั้นบันไดของโบสถ์และวิหาร สัญลักษณ์ของธาตุน้ำและการปกปักรักษาพระพุทธศาสนา ซึ่งในสมัยนี้ก็แทบจะไม่มีใครเชื่อกันแล้วว่าพญานาคมีจริง โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ เนื่องด้วยการหลั่งไหลเข้ามาของเทคโนโลยีส์และความทันสมัยที่ขับเคลื่อนสังคมมนุษย์ให้เต็มไปด้วยวัตถุนิยมและรูปนิยมอันเป็นบ่อเกิดของกิเลสตัณหานานัปการ
แต่หากอ้างอิงจากหลักฐานบันทึกทางโบราณประจักษ์โดยที่ไม่เข้าข้างศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เรื่องของพญานาคนั้นมีบอกกล่าวเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งมุขปาฐะและบันทึกของคนโบราณมากมายว่าพญานาคเป็นสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทในหลากหลายอารยธรรมของโลกไม่เพียงแต่ในศาสนาฮินดูและพุทธเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมอียิปต์ที่นับถือเทพเจ้างูใหญ่ว๊าดเจ็ทและพญาอสรพิษอูเรอุส(อียิปต์ล่างในสมัยบรรพกาลจะอยู่ปากแม่น้ำในที่ชุกชุมไปด้วยงูเห่าอียิปต์และพญานาค) อารยธรรมกรีกและโรมันที่ขึ้นชื่อเรื่องพญาอสรพิษ(นาคา,ดราคา)อันมีบทบาทในเทพปกรณ์โบราณ อารยธรรมจีนก็มีการนับถือมังกร(หลง,เล้ง,ลวง)ซึ่งก็เกิดจากการเอาลักษณะของงูใหญ่มีหงอนไปแต่งเติมให้อลังการยิ่งขึ้น และอารยธรรมยุโรปโบราณที่มีกล่าวถึงสัตว์จำพวกมังกรทั้งแบบที่คล้ายงูและคล้ายกิ้งก่า เป็นต้น
คนในสมัยโบราณมีมุมมองต่อสิ่งที่พบเจอแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตกและฝั่งตะออก คนตะวันตกมองว่างูใหญ่เป็นตัวแทนของความชั่วร้าย กิเลส มาร ซาตานและด้านมืด ก็อาจจะด้วยการตีความของเจ้าลัทธิในนิกายต่างๆของชาติตะวันตก เห็นงูเป็นสัตว์ดุร้าย มีพิษสง ก็ตีความอย่างตรงไปตรงมาทื่อๆว่างูนั้นร้ายขนาดนี้จึงต้องเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายนั่นเอง
แต่สิ่งที่เหมือนกันของคนโบราณก็คือคนโบราณต่างก็มีกิเลสเบาบางมากๆ ข้อดีของการมีกิเลสเบาบางคือทำให้จิตว่างอย่างถึงที่สุดเพราะไม่มีความโลภรักโกรธหลงท่วมท้น จิตจึงผสานเข้ากับธรรมชาติและคลื่นความถี่ในมิติต่างๆได้ง่าย การจะติดต่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตในภพภูมิต่างๆหรือแม้แต่การเดินทางเข้าไปในมิติภพภูมิต่างๆจึงเป็นไปได้ง่ายกว่าในสมัยปัจจุบันมาก
ในปัจจุบันแม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์เน็ตและโทรทัศน์ดาวเทียมมากมายที่รบกวนญาณทัศนะต่างๆ ถ้าไม่ฝึกจิตให้แน่วแน่ถึงขั้นบังเกิดอภิญญาด้วยฌานสมาบัติในสถานอันวิเวกจริงๆก็ทำไม่ได้ ดังนั้นพระเกจิอริยบุคคลในยุคร่วมสมัยจึงมักจาริกธุดงค์ไปตามป่ารกพงไพรเพื่อหาสถานที่สงัดสัปปายเพื่อปฏิบัติสมาธิให้เข้าถึงฌาน
ในขณะที่คนตะวันออกมองว่างูใหญ่เป็นตัวแทนของความเจริญงอกงาม ความสมบูรณ์พูนสุขและความดีงาม โดยเฉพาะในแถบประเทศเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุก็เพราะศาสนาพุทธมีอริยบุคคลมากมายหลายท่านที่มีทิพยจักขุญาณที่ส่องเห็นภพภูมิและอุปนิสัยใจคอของสิ่งมีชีวิตในมิติต่างๆ ในศาสนาพุทธได้จาระถึงภพภูมิต่างๆเอาไว้อย่างพิสดารพันลึกไว้ด้วยกันถึง๓๑ภพภูมิ โดยพญานาคเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตของภพภูมิที่เรียกว่าจาตุมหาราชิกา
ในประเทศต่างๆจะมีการให้คำนิยามขับขานชื่อของภพภูมิต่างๆแตกต่างกันออกไป อีกทั้งการสอบรู้ซึ่งภพภูมิต่างๆก็อาจจะไม่ได้จารนัยไว้โดยละเอียดเหมือนดั่งที่พระพุทธองค์ทรงสำแดงไว้ เช่น ในศาสนาคริสต์ จะพูดถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้ไม่กี่แห่ง เช่น ดินแดนบรมสุขเกษมหรือยูโธเพีย(เทวภูมิ) พระคริสตอุทยาน(รูปภูมิ) เป็นต้น
พระศาสดาของเราท่านผู้เป็นศากยบุตรได้ทรงดำรัสรู้ถึงภพภูมิต่างๆอันเป็นที่รองรับของการถือกำเนิดด้วยวิบากแห่งกรรมที่แตกต่างกันออกไป เมื่อวิบากกรรมของเราทำไว้ให้ผลก่อนตาย ดวงจิตของเราก็จะวาร์ปไปเกิดในภพภูมิอันเหมาะเหม็ง เช่น พวกทำบุญถือศีลแต่มักโกรธมักทำร้ายคนที่โกรธให้บาดเจ็บ ก็อาจได้ไปเกิดเป็นพวกยักษะบนจาตุมหาราชิกาสวรรค์(ขึ้นอยู่กับความเลว ถ้าโกรธแล้วทำชั่วมากกว่าทำบุญก็ไปนรกนะครับ)
พวกทำบุญถือศีลแต่มักเผลอเย่อหยิ่งจองหองเหยียดหยามคนอื่นหรือมีอคติกับคนนั้นคนนี้ ต้องให้คนนั้นคนนี้มาคอยพะเน้าพะนอ ก็อาจได้ไปเกิดเป็นพวกครุฑะ(พญาครุฑ)บนจาตุสวรรค์เช่นกัน(แต่ถ้าหนักมือ เหยียดหยามเย่อหยิ่งจองหองจนกู่ไม่กลับ อันนี้น่าจะไปเป็นสัตว์เดรัจฉานหรืออสุรกายแทนที่จะไปเกิดในจาตุมหาราชิกา)
ยังไม่หมดเท่านั้น พวกทำบุญถือศีลประพฤติชอบแต่มักเผลอโลภเผลอหวงแหนในสมบัติประดามี เช่นทำบุญหนักกับวัดกับวาหรือมูลนิธิแต่ดันขี้หวงกับพ่อแม่ตนกับลูกตน จิตสุดท้ายก่อนตายก็วาร์ปไปโน่นเลย ไปเป็นมหิทธิกเปรุตะ(เปรตรูปงามที่มีฤทธิ์อย่างเทวดา ถึงจะรูปงามแต่ก็อาจจะมีดวงตาที่แดงก่ำ หรือมีลิ้นยาวเป็นวา
ไม่ก็มีเล็บแหลมคมงองุ้ม ลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นเปรตจะต้องสำแดงอยู่ แต่ถ้าทำบาปมากกว่าบุญก็คงต้องบอกลาสถานะมหิทธิกเปรตอันยิ่งใหญ่ แล้วไปเกิดเป็นเปรตแท้ในโลกของเปรตที่เรียกว่าเปรตตะภูมิโน่นเลย อารมณ์แบบเปรตวัดสุทัศน์นั่นแหละ)
แถมให้อีกประเภทที่ขาดไม่ได้คือทำบุญถือศีลประพฤติธรรมแต่ก็ชอบเผลอชักชวนคนอื่นไปร่วมประเวณี มีจิตใจหลงใหลไปกับความบันเทิงเริงรมย์ทางเพศและกามารมณ์อันร้อนเร่าเร้าใจ ยังดีที่มีสติพอที่จะเช็คและเลือกคนที่โสดเหมือนกันมาร่วมเพศกัน คนเหล่านี้จิตสุดท้ายก่อนตายก็จะวาร์ปไปโผล่ในภพภูมิของพวกนาคะหรือนาค ซึ่งจะได้เกิดเป็นนาคชั้นสูง กลางหรือชั้นต่ำก็แล้วแต่บุญแต่กรรมเลยจ้า
ทำบุญมามากกว่าบาปก็ได้ไปเกิดเป็นนาคชั้นสูง ทำบุญมาเท่าหรือน้อยกว่าบาปก็ได้ไปเกิดเป็นนาคชั้นต่ำ ยิ่งถ้าบุญน้อยมากเท่าไรก็โน่นเลย ไปเกิดเป็นงูเห่า งูหลาม งูเขียว งูดิน ที่แน่ๆได้สมสู่กันถี่ๆรัวๆไม่หยุดหย่อนสมใจแน่นอนครับ ยิ่งถ้าไม่มีบุญเลยมีแต่บาปด้านผิดลูกเมียผิดศีลข้อสามอย่างเดียวก็โน่นเลยดิ่งลงนรกภูมิ คิดแล้วก็ให้ขยาดคร้ามกับการก่อกรรมทำเข็ญมากเลยนะครับเพราะกรรมมันซับซ้อนซ่อนเงื่อนซะจนเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าปลายทางที่เราจะไปเกิดนั้นคืออะไร(หรือตัวอะไร)
เห็นอย่างนี้แล้วเรามารอบคอบทำแต่ความดีงามเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ชาติภพหน้าเราไปเกิดเป็นตัวอะไรแปลกๆกันดีกว่า สำหรับท่านที่ไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริงก็ไม่เป็นไร ทำบุญทำทานทำความดีถือศีลห้าเอาไว้กันเหนียวก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เผื่อวันหนึ่งตายขึ้นมาแล้ว อ้าวเฮ้ย การตายแล้วไม่สูญน่ะมันคือเรื่องจริงนี่หว่า.. จะได้ไม่มาเสียใจภายหลังยังไงล่ะครับ
อ่ะถ้ายังไม่เชื่อ ลองนึกภาพสิว่าทำไมตัวท่านถึงมีความรู้สึกนึกคิด มานั่งมาหายใจมามีตัวตนอยู่ตรงนี้ได้ ตอบโต้คนอื่นได้ ท่านไม่แปลกใจบ้างเหรอ เรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ภพชาติถ้าไม่มีจริง อ้าวแล้วท่านมีความรู้สึกนึกคิดมีสภาวะอารมณ์ต่างๆหลากหลายขนาดนี้ได้ยังไง อยู่ดีๆท่านจะมาเกิดเฉยๆแล้วสูญสลายหายไปกับกาลเวลาทั้งๆที่เคยรับรู้ ดูเห็น สูด สัมผัส โดยที่ไม่มีปัจจัยอะไรมาเลย แค่นั้นจริงๆน่ะหรือ? ดังนั้นให้คิดดีๆนะครับก่อนจะพลั้งมือทำผิดคิดชั่ว
ทีนี้กลับมาเรื่องของพญานาคกันดีกว่า อย่างที่บอกว่าพญานาคเป็นสัตว์ที่เกิดจากกรรมของผู้ทำบุญประพฤติชอบแต่ก็ยังมักนิยมในกามราคะ(บางกรณีอาจเป็นผู้ถือศีลดีมากแต่พลาดในเรื่องเล็กๆน้อย) แต่ข้อดีคือพญานาคมีสภาวะทางอารมณ์ใกล้เคียงกับมนุษย์ มีรัก มีโกรธและมีความหลงใหล แต่ไม่มีความโลภ เพราะในภพภูมิของพวกนาค(ชั้นกลางและสูง)นั้นล้วนถือกำเนิดขึ้นมาบนกองแก้วนพรัตนชาตินานัปการ มีทองคำทุกหนทุกแห่งของธรณีธาตุ มีเพชรนิลจินดาแทรกแซมในทุกมุมอุโมงค์อุทยานบาดาลภพ
อาหารการกินในนาคชั้นสูงนั้นอิ่มทิพย์ ไม่ต้องกินไม่ต้องเคี้ยวเพราะไม่มีเวทนาความรู้สึกหิวโหยอยู่เช่นนั้นชั่วนาตาปี แม้นาคชั้นกลางก็กินเพียงอาหารมังสวิรัติหรือเสกอาหารอันเอร็ดอร่อยขึ้นมาด้วยอำนาจเวทมนตร์ ในศาสนาฮินดูบรรยายถึงนาคว่าเป็นเทพเจ้า เป็นบันไดเชื่อมต่อโลกกับจักรวาล(สายรุ้ง) พรรณนาเอาไว้อย่างอลังการงานสร้าง บางตำราว่ามีกายใหญ่จนพันรอบโลกเราได้สามรอบ แต่ในพระไตรปิฎกไม่มีบรรยายถึงอะไรที่พิสดารพันลึกขนาดนั้น
พญานาคในทางพุทธถือกันเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานแต่เป็นเดรัจฉานที่มีข้อแม้คือเกิดในเทวภูมิสวรรค์ชั้นต้น ไม่ได้เกิดในแผ่นดินโลกมนุษย์ ความพิเศษนี้จึงทำให้พวกนาคมีอิทธิฤทธิ์ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับบารมีที่ติดตัวมา ในศาสนาพุทธมีพญานาคที่โด่งดังหลายตน สามตนหลักๆก็เห็นจะเป็นพญามุจลินทนาคราช พญากาละนาคราชและพญานันโทปนันทะ
ในศาสนาฮินดูแต่งให้ว่ามีเทวดาชื่อพระกัศยปไปได้เสียกับนางกัทรูจนนางกัทรูผู้เป็นพรายน้ำให้กำเนิดออกไข่มาหนึ่งพันฟอง ทุกฟองคือนาคหรือพญานาค ซึ่งในอินเดียโบราณบรรยายลักษณะของพญานาคแบบฮินดูไม่ต่างอะไรจากงูเห่า เพียงแต่มีขนาดมหึมา บ้างก็มีสามเศียร หลายเศียรไล่ไปจนถึงพันเศียรหมื่นเศียรก็มี จารณาเอาไว้มหัศจรรย์สุดๆชนิดที่หยุดไม่อยู่กู่ไม่กลับ แถมยังแต่งให้พญาครุฑเป็นเทพองค์เดียวในจักรวาล มีดวงตาเท่าพระอาทิตย์ มีปีกกว้างจรดขอบจักรวาล คอยตามล่าฆ่ากินนาคาทุกตนในสรวงสวรรค์แลเกษียรสมุทร
แต่ในศาสนาพุทธมองตามความเป็นจริงที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้มีอภิญญาญาณหลายท่านให้ข้อมูลตรงกันว่าพวกนาคมีความเป็นอยู่เช่นเดรัจฉานทั่วไป มีหลังขนานพื้นโลก และเคลื่อนที่ไปด้วยท้อง มีมากมายหลายแสนตนดั่งงูเงี้ยวทั่วไป พญาครุฑก็เช่นกัน ในมิติของพวกเขาก็เป็นเช่นฝูงนกที่โผบินวะว่อนไปทั่วท้องฟ้า
ครุฑที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ไล่จับพญานาคชั้นต่ำและชั้นกลางกินเป็นอาหารเหมือนการที่เหยี่ยวโฉบงูไปกินฉันใดก็ฉันนั้น ครุฑเองก็มีทั้งที่เป็นครุฑชั้นสูง ชั้นกลางและชั้นต่ำ มีลักษณะการเกิดแบบผุดขึ้นเองกลางอากาศ เกิดจากฟองไข่ เกิดจากครรภ์และเกิดจากคราบไคลได้ไม่ต่างกัน แน่นอนว่าครุฑชั้นสูงหรือครุฑที่นับถือพุทธจะไม่มีทางจับนาคกินแน่นอน แต่จะเสกอาหารทิพย์กินหรือไม่ก็กินผลไม้ในป่าหิมพานต์ เป็นต้น
พญานาคในฝั่งฮินดูมีลูกชายคนโตของเทวดากัศยปและนางพรายกัทรูที่ชื่อเศษะ(อนันตนาคราช)เป็นต้นกำเนิด บางตำราก็ว่าเป็นพญาวาสุกรีผู้ให้กำเนิดนาครุ่นใหม่ๆทั้งปวง(โดยการแต่งงานกับมนุษย์บ้างเทพบ้าง แต่ลูกก็ยังออกมาเป็นนาค) แถมนาคในฮินดูยังสามารถคงสภาพเป็นร่างเทวดาได้ตลอดเวลายาวๆไปเลยจ้า
แต่ของศาสนาพุทธ เหล่านาคจะไม่สามารถคงสภาพเป็นเทวดาหรือสภาพมนุษย์ได้ในขณะถือกำเนิด ขณะให้กำเนิด(บุตรที่เกิดจากนาคกับนาคด้วยกัน) ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่(ระหว่างนาคกับนาคด้วยกัน) ขณะตาย และขณะใดก็ตามที่หลับไหลหรือไม่ได้สติ รวมไปถึงขณะที่ป่วยและสิ้นฤทธิ์ก็จะต้องคืนร่างสู่สภาพของงูใหญ่มีหงอนทรงเครื่องเช่นเดิมทันที
พญานาคที่เป็นต้นกำเนิดนาคทั้งปวงในฝั่งศาสนาพุทธจะมีด้วยกันหลักๆสองสาย คือสายมุจลินทนาคราช(ไม่มีกล่าวถึงว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพญานาคตนใด ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลูกหลานของพญาเศษะ/อนันตนาคราชหรือพญาวาสุกรีนาคราชก็ได้กระมัง) โดยพญามุจลินทนาคราชมีศักดิ์เป็นถึงปู่ทวดของพญาศรีสุทโธนาคราชและพญาศรีสัตตนาคราช
แม่ของพญาศรีสัตตนาคราชคือธิดาของพญาสนธินาคราชผู้เป็นหลานแท้ๆของพญามุจลินทนาคราชนั่นเอง(พ่อของพญาศรีสัตตะนาคราชเป็นมนุษย์ที่มีแม่เป็นนาคอีกที) ดังนั้นตระกูลของพญาพญาศรีสัตตะจึงเป็นตระกูลที่โด่งดังในหมู่พญานาค เพราะเป็นถึงลูกหลานเหลนลื่อของนาคใหญ่ผู้แผ่พังพานเอากายขนดกำบังลมฝนมิให้ต้องพระพุทธวรกายอย่างพญามุจลินท์นั่นเอง
พญาศรีสัตตะเมื่อเติบใหญ่ก็ได้ไปพบรักกับมธุรินรดีนาคเทวี และยังมีศรีสุดาจันทราทิพย์เป็นพระสนมเอก มธุรินรดีนาคเทวี(ตระกูลสีรุ้ง มีเกล็ดสีไข่มุกเลื่อมรุ้งพรายประภัสรา)นั้นเมื่อได้สมสุมสยุมพรกับพญาศรีสัตตนาคราช(ตระกูลเอราปัถสีเขียวแก่)แล้วนางก็ออกไข่ออกมาจนฟักเป็นพญานาคผู้มีนามว่าพญาดำคำแสนสิริจันทรานาคราช(องค์ดำ) ผู้เป็นต้นกำเนิดนาคในตระกูลสีดำทั้งหมดทั้งมวลในพื้นพิภพโลกา บาดาล หิมพานต์และสวรรค์ชั้นต้น(เป็นองค์เดียวกับเทพเนปจูนและโพไซด้อนในวัฒนธรรมกรีกและไบแซนไทน์)
ย้อนกลับไปฝั่งพ่อของพญาศรีสัตตะนาค ผู้เป็นมนุษย์นั้นมีแม่เป็นนางนาคชื่อศรีนาคเทวีผู้เป็นลูกสาวของศรีนครนาคเทวี ซึ่งพ่อของนางนาคีศรีนาคเทวีนี้ก็คือพญาสิรินาโคจากเมืองหนองคายของไทย โดยพญาสิรินาโคและศรีนครนาคเทวีมีลูกสองตน ได้แก่ลูกชายคนโตที่มีนามว่าพญาศรีสุทโธนาคราช(บางตำราว่ามีสองตน ศรีสุทโธด้วย ศรีสัตตะด้วย เล่นเอาคนอ่านมึนงง)ผู้มีวังอยู่ที่เกาะคำชะโนดเมืองบ้านดุงอุดรธานี และศรีนาคเทวีน้องสาวที่ไปแต่งกับมนุษย์หนุ่มชาวล้านช้างนามว่าบุรีจัน(ปู่ของศรีสัตตะนาคราช)นั่นเอง
ลูกที่เกิดมาระหว่างชายชาวมนุษย์กับนางนาคีศรีนาคเทวีก็ยังเป็นมนุษย์แต่สามารถพูดคุยและควบคุมงูนานาชนิดให้ทำตามคำสั่งได้ แถมแผ่พิษออกทางดวงตาได้อีก เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์แต่ก็ไม่แท้ นี่ว่ากันตามบันทึกของผู้มีอภิญญาทั้งในฝั่งหนองคาย ลาวและทั่วไทย เขาเรียกพวกลูกครึ่งพญานาคกับมนุษย์ว่ามนุสะนาคะหรือมนุษยนาค ภาษาไทยเดิมเรียกพีชะน้ำ(พีชะแปลว่าอยู่ใน,เกิดใน...)
ลูกที่เป็นมนุษย์(ปนพญานาค)คนนี้แหละไปได้กับนางนาคที่ชื่อสนธิภาวินีนาคเทวีผู้เป็นธิดาของพญาสนธินาคราช(ตระกูลเอราปถะ)และนางนาคเทวีศรีภาวนา(ลูกครึ่งตระกูลวิรูปักข์กับฉัพยาบุตตะ)จากเมืองหนองคาย
ดังนั้นพญาศรีสัตตะนาคราชจึงมีศักดิ์เป็นญาติกับพญาศรีสุทโธ และมีเชื้อสายของนาคทั้งตระกูลสีเขียว สีดำ สีรุ้ง รวมไปถึงมนุษย์อยู่ในตนเดียวกัน จึงไม่แปลกที่พญาองค์ดำแสนสิริจันทราจึงเกิดมาเป็นพญานาคสีดำได้ เพราะแม่ของเขาเองนั้นเป็นลูกครึ่งนาคชั้นสูงสีทองและรุ้ง ในโลกของนาคหรือนาคพิภพนั้นจะมีพวกลูกครึ่งอย่างนี้มากมายเต็มไปหมด อนุมานเหมือนประเทศในแถบอเมริกาที่เต็มไปด้วยเลือดผสมหลากเชื้อชาตินั่นเอง
ฝั่งพุทธเถรวาทจะถือกันว่าพญากาละเป็นออริจินอลของนาคตระกูลสีดำหรือตระกูลกัณหาโคตมะ แต่ด้วยความที่กาละนาคราชเอาแต่นอนโดยไม่สืบพันธุ์ ทำให้ต้นตระกูลของพญานาคสีดำทั่วโลกจึงหนีไม่พ้นพญาดำคำแสนสิริจันทรานาคราชาธิบดีหรือองค์ดำนั่นเอง(พญานาคออกไข่ทีหลายฟองมาก บางครั้งก็ออกไข่เป็นพันฟองก็มี แต่บางครั้งก็ออกไข่แค่ฟองเดียวก็มี แล้วแต่กรรม) องค์ดำมักจะว่ายน้ำไปถือศีลในสถานที่ต่างๆรอบโลกโดยเฉพาะแถบทะเลแอตแลนติกและเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เกิดตำนานเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของฝรั่งหลายตำนานเลยทีเดียว
(สามารถหาอ่านได้ในgoogleงานวิจัยเรื่องตำนานพญานาคในแต่ละอารยธรรม)
ส่วนพญามุจลินท์เป็นนาคบรรพบุรุษ มีความเป็นวิรูปักข์ด้วย เอราปัถด้วย กล่าวคือเป็นรอยต่อของพญานาคสองตระกูลนี้นั่นเอง ลูกหลานจึงแตกออกไปเป็นทั้งวิรูปักข์และเอราปถะ พวกวิรูปักข์ดูจะมีภาษีกว่าเพราะเทวดามักรับไปอยู่ด้วยกันบนวิมานในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาในฐานะคนรักหรือสหายรัก ทำให้ต่อมาวิรูปักข์ก็พัฒนาไปจนใกล้เคียงเทวดา มีการกำเนิดแบบโอปปาติกะผุดเกิดขึ้นเองกลางอากาศและถือเป็นตระกูลที่ใกล้ชิดพวกเทวดาในสวรรค์ชั้นต้นมากที่สุดก็ว่าได้
(ตอนต่อไปจะขอพูดถึงเรื่องสีสันและความเชื่อมโยงกับฐานันดรของเหล่านาคชั้นสูงและนาคชั้นกลางทั่วทุกมุมโลกตามญาณทัศนะของผู้มีทิพยจักขุ บทความนี้เขียนโดยแอดมินเตมียนาคราช มีลิขสิทธิ์ โปรดให้เครดิตก่อนนำไปเผยแพร่นะครับ)
โฆษณา