29 ก.พ. 2024 เวลา 06:37 • การศึกษา
กรุงเทพมหานคร

ทำไมพญานาคส่วนหนึ่งกลับอยากเกิดเป็นมนุษย์ หรือไม่อยากเกิดอีกแล้วทั้งๆที่พญานาคอยู่ในสุคติภูมิ...

ขึ้นชื่อว่าพญานาคแล้วย่อมเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นสัตว์กายสิทธิ์ที่มีตัวตนจริงอยู่ในอีกภพภูมิหนึ่งซึ่งซ้อนทับกับโลกมนุษย์และสวรรค์ชั้นที่๑ ตามพุทธบัญญัติได้จาระไว้ว่าเป็นเดรัจฉานผู้มีผิวพรรณงาม มีฤทธิ์มาก เพียบด้วยทรัพยศฤงคาร แปลงกายได้หลากหลายรูปลักษณ์ ในสมัยพุทธกาลจึงมีบุคคลที่อยากเกิดเป็นนาคราชกันมากพอสมควร
1
อย่างไรเสียแม้นาคราชจะมีฤทธิ์มาก แต่เมื่อแรกเกิด คลอดบุตรหรือออกไข่ เจ็บป่วยสิ้นแรง สมสู่ระหว่างนาคกับนาคด้วยกัน ลอกคราบและตอนสิ้นชีพตายลงก็จะต้องคืนร่างเป็นพญานาคงูใหญ่มีหงอนดังเดิม หนำซ้ำการจะแปลงร่างก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมตอนเกิด ถ้าเกิดในน้ำต้องลงไปแปลงร่างในน้ำ ถ้าเกิดบนบกต้องขึ้นมาแปลงร่างบนบก ยกเว้นพวกนาคชั้นสูงที่เป็นโอปปาติกะ(แปลงกายตรงไหนก็ได้) นอกจากนี้ขณะเคลื่อนที่ก็ต้องเลื้อยไปแบบงู ต้องชูคอและอ้าปากอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ไอความร้อนจากพิษถูกระบายออก
1
ถ้าสังเกตดีๆความรู้สึกว่าต้อยต่ำเพราะลักษณะของเดรัจฉานไม่สิ้นไปเมื่อเทียบกับเทพหรือพรหมก็ย่อมทำให้นาคราชมีจิตใจเศร้าหมองได้เช่นกันโดยเฉพาะนาคชั้นกลางและนาคชั้นสูงที่รับนับถือพระพุทธศาสนา(มีนาคที่นับถือศาสนาและไม่นับถือศาสนาอยู่ปะปนกันทั่วทุกมุมสังสารวัฏ) นั่นคืออัตภาพของพญานาคที่ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะมีความเป็นอยู่ใกล้เคียงเทพ แต่เมื่ออยู่ไปนานๆสักพันปีหรือหมื่นปีก็ย่อมเริ่มเบื่อหน่ายในความเป็นไปของชีวิตพญานาค
1
พญานาคหลายตนจึงพยายามขวนขวายจนเข้าใกล้พระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา แม้แต่พญานาคที่มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นเทพเจ้าเนปจูนหรือโพไซดอนของโลกตะวันตกอย่างพญานาคาดำแสนสิริจันทรานาคราชก็ยังนับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะตามอย่างบิดา(ศรีสัตตะนาคราช) สาเหตุหลักๆที่เหล่าพญานาคหันมานับถือพระพุทธศาสนาก็ด้วยจุดมุ่งหมายที่ปรารถนาการหลุดพ้นในวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง
1
การเวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่ดีอย่างไรหรือ? ตอบได้เลยว่าไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะมีข้อเสียมาก คือต่อให้คุณจะเป็นสิ่งมีชีวิตกายเนื้อ หรือสิ่งมีชีวิตกายทิพย์ สุดท้ายก็จะมีความทุกข์เฉพาะตน ทั้งความทุกข์ที่สังเกตรับรู้ได้ชัด และความทุกข์ที่ไม่ทันสังเกตรับรู้ได้ชัด เช่น เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องร้องไห้ขณะเกิด เจ็บปวดเพราะถูกตัดสายสะดือ
1
เศร้าโศกทรมานใจเพราะมีปัญหากับคนใกล้ชิดคนรักคนผูกพัน อันนี้ไม่นับปัญหาเรื่องงาน สุขภาพและความโรยราตามวัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในกรณีที่ไม่เกิดอุบัติเหตุตายไปเสียก่อนอีกนะ คิดดูกว่าจะเกิด โต และตายลง ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งต้องผ่านร้อนผ่านหนาวสุขทุกข์ปีติทรมานใจมามากมายเพียงไร
1
กรณีของการได้เกิดเป็นเทพยดาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความทุกข์ เทวดาในชั้นไหนๆก็มีความทุกข์ที่ได้รับการบำเรอสุขจนเบื่อหน่าย ความเบื่อจัด ความเอือมสุดๆ ก็ถือเป็นหนึ่งในความทุกข์ เทวดาเสวยชาติชาติหนึ่งนานมากเมื่อเทียบกับอายุมนุษย์ บางองค์อยู่มาแล้วสามร้อยปี บางองค์ก็อยู่มาแล้วเป็นพันปี นี่ยังไม่นับพรหมในชั้นต่างๆอีกนะ บางองค์อยู่มาแล้วเป็นแสนเป็นล้านเป็นล้านล้านล้านล้านปีก็มีมาแล้ว อยู่นานจนป่วยการจะไปนับเวลา
1
เทพเทวาหรือพรหมเหล่านั้น บางองค์ยังหลงเหลือกิเลสอยู่ พอหมดบุญก็ตาย แล้วลงมาเกิดในชั้นที่ต่ำกว่าเดิม บางตนไม่เคยไปร่วมอนุโมทนาปราโมทย์ในบุญกุศลของใครเขาเลย เมื่อตายจากการเป็นเทวะเป็นพรหมะก็ลงนรกทันทีก็มีมาแล้วเพราะว่าตอนเป็นเทพเอาแต่หลงระเริงสนุกอยู่ในกามนั่นเอง(โดยเฉพาะเทพในชั้นจาตุมหาราชและดาวดึงส์ สองชั้นนี้ยังมีเซ็กซ์ได้เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง)
1
ดังนั้นไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว ก็ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถเอามันออกไปจากเราได้เลย กรรมดีกับกรรมชั่วจะยังคงอยู่ตลอดไปไม่หายไปไหน อยู่ที่ว่าอย่างไหนจะให้ผลแรงกว่ากัน ถ้ากรรมดีให้ผลแรงกว่า เราก็มีสิทธิ์ลุเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ากรรมชั่วให้ผลแรงกว่าเราก็มีสิทธิ์ลุเข้าถึงมนุษย์อวชาติ เปรต อสุรกายอุบาทว์ สัตว์เดรัจฉานไร้ฤทธิ์และสุดท้ายก็คือสัตว์นรก
1
ดังนั้นเหล่าสัตว์วิเศษ เหล่าเทพ เหล่าพรหม(ทั้งหมดจะรับนับถือศาสนาพุทธ)จึงต้องคอยเสาะหาแหล่งศีลอันหอมหวลเพื่อคอยร่วมอนุโมทนาบุญอยู่เป็นนิจเพื่อมิให้เกิดความประมาทเลินเล่อในกฎแห่งกรรม ไม่ว่าจะเป็นการไปช่วยคุ้มครองพระอริยเจ้าให้พ้นจากภัยพาล ไปคุ้มครองปกปักรักษาคนที่ขับรถไปบริจาคทานแก่มูลนิธิเด็กยากไร้และสัตว์ไร้ที่พึ่ง เป็นต้น
1
ทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อหลีกหนีภพชาติหน้าที่อาจต้องไปเกิดในอบายภูมิ๔อันได้แก่สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกายและนรก ถ้าทำได้ดีเมื่อตายก็หนีอบายภูมิไปได้อีกชาติหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าถ้าไปเกิดชาติใหม่แล้วเกิดหลงผิดคิดชั่วขึ้นมา กลายเป็นคนชั่วหรือเทพชั่ว สุดท้ายก็อาจจะไปเกิดในเปรตหรือนรกก็ได้อีกอยู่ดี เพราะฉะนั้นเวลาทำบุญหรือเวลาปฏิบัติภาวนากรรมฐานให้อธิษฐานจิตพิชิตใจอยู่เสมอว่าขอให้แรงแห่งบุญจงดลจิตดลใจผลักไสให้ข้าพเจ้าอยู่ในศีลในธรรมไปทุกชาติภพ แบบนี้ ห้ามลืม
1
แน่นอนว่าการจะไปเวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่ได้มาเพราะแค่เรื่องบังเอิญ จิตของเรามันเดินทางมาอย่างยาวนานและเต็มไปด้วยประวัติซุกซ่อนที่เจ้าของจิตเองก็ไม่มีทางรู้ ยกเว้นพระสัพพัญญู(ผู้บรรลุธรรมขั้นสูงที่สุด)เท่านั้นที่จะรู้ได้
1
พระสัพพัญญูที่ชื่อว่าพระโคดมพระพุทธเจ้าของเราได้เปิดเผยความจริงของการต้องเวียนว่ายตายเกิดไว้ด้วยกันทั้งหมดสิบข้อ เรียกสั้นๆว่ากิเลส๑๐หรือสังโยชน์๑๐ก็ได้ เริ่มด้วยข้อแรก ๑.ความยึดถือตัวเอง ว่านี่ตัวกูของกู ฉันคือตัวฉันและมีตัวตน อารมณ์เมนคาแรคเต้อซินโดรมน่ะ
1
บางคนนี่ก็อาการหนักถึงขั้นหลงตัวเอง พรีเซ้นต์ตัวเองซะใหญ่โตจนลืมไปว่าวันหนึ่งร่างกายแกก็จะเสื่อม แล้วแกก็จะป่วย จะไม่เก่ง จะป้ำๆเป๋อๆและตายได้ไม่ช้าก็เร็วจี๋นะ ท่องไว้เลย ส่วนข้อ ๒. ความลังเลสงสัยในธรรมชาติ คิดว่าธรรมชาติเป็นแบบที่ตัวเองคิดเพราะเห็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาหมดแล้ว แต่ลืมไปว่าบางอย่างวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์รับรองไม่ได้ เช่นเรื่องหลักธรรมะ ก็เลยไม่ค่อยจะเชื่อในธรรมะหรือพระรัตนตรัยอะไรประมาณนั้น
3
๓.ว่าด้วยเรื่องศีลลัพพตปรามาสคือความงมงาย คือทำในสิ่งที่เป็นเรื่องหลงผิด งมงายไร้แก่นสาร เช่นเชื่อว่าเอาทรายล้างผิวผิวจะสะอาด เชื่อว่าอธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะได้รับพร เข้าใจอะไรๆผิดไปจากความเป็นจริงของจักรวาลวัฏสงสาร เช่น เชื่อว่าตายแล้วตายเลยสูญสิ้นกันไป ไม่มีโลกหน้าโลกไหน หรือหนักกว่านั้นก็คือเชื่อว่าตายแล้วได้ไปอยู่บนสวรรค์ชั่วนิรันดร จะบ๊าเหรอแก
๔.กามราคะ สิ่งนี้เป็นตัวฉุดรั้งให้เหล่าสรรพสัตว์กลับมาเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนไปวนมาแต่ก็ไม่รู้ตัวสักกะที นั่นก็เรื่องของความฟินความถูกใจใช่เลยในรูปในรสในกลิ่นในเสียงในสัมผัส อู้อ้าซู่ซ่า ทั้งเรื่องเซ็กซ์ เรื่องความอยากได้อยากมีอยากเป็น ความฟินจนต้องหลั่งสารโดปามีนเยอะๆ พอถูกใจก็เกิดอาการเสพติดความถูกใจ จนละทิ้งอารมณ์ถูกใจพึงพอใจไปไม่ได้จริงๆ(บางทีผู้เขียนก็เป็นจ้า)
๕.ปฏิฆะ อันนี้ก็ไม่ดี ปฏิฆะแปลว่าความหงุดหงิดขัดเคืองใจ เป็นไปอย่างประสาทแดก โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวอะไรนักไม่รู้ คนสมัยนี้เป็นกันเยอะมาก ไอ้นู่นก็ไม่ยอมไอ้นี่ก็ไม่ยอม สร้างแมนิวเฟสต์กันเยอะ พอไม่ได้ดั่งใจแทนที่จะทำใจเย็นๆรอเวลาที่ใช่ แต่กลับหงุดหงิดฟาดงวงฟาดงา บางคนถึงขั้นฆ่าแกงกัน
เช่น เจ้าหนี้แค้นลูกหนี้ที่เหนียวหนี้จนตามไปฆ่าลูกหนี้ เป็นต้น โดยลืมไปเลยว่าจริงๆแล้วทรัพย์เป็นของนอกกาย เป็นของที่มนุษย์เราสมมุติกันขึ้นมาครอบมาครอง แค้นไปก็ไม่ได้มันกลับคืนมา วิธีแก้ที่ดีก็คือต้องทำใจยอมรับความสูญเสียหรือไม่ก็ดำเนินคดีซะให้ถูกต้อง ห้ามให้ความโกรธเข้ามามีบทบาท
๖.รูปราคะ อันนี้แปลความหมายตรงตัวคือความชอบในรูปร่างที่ได้ยล ไม่ว่าจะรูปภาพ รูปร่างหน้าตา จะเห็นได้จากบรรดาแฟนคลับศิลปินที่หลายๆคนแม้จะบอกว่าชอบศิลปินที่ความสามารถ แต่แท้ที่จริงแล้วก็ถูกใจใช่เลยในรูปร่างหน้าตาของเขาเป็นหลักแต่แค่จะยอมรับหรือไม่ก็แล้วแต่คน รวมไปถึงความติดใจในความประณีตงดงามต่างๆด้วยนะไม่ว่าจะติดใจในสมาธิ เพลินในการเข้าฌาน เพลินในการให้ เพลินในสามีภรรยาและบุตรหลาน หลงคิดไปว่าพวกเขาเป็นของดีของเลิศของฉันเอง เป็นต้น
๗.อรูปราคะ อันนี้เป็นความติดใจถูกใจพอใจในสิ่งที่ไม่ใช่รูปธรรมเหมือนข้อ๖แล้ว แต่จะเป็นความติดใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ความสุขทางใจ ความสุขทางฌานและสมาธิ มายาคติ ความเชื่อ อุดมคติต่างๆ ความเชื่อมั่นต่างๆในอารมณ์ในฟีลลิ่ง ความนึกคิดที่ขับเคลื่อนตัวตนให้เป็นไปตามความหวัง ความฝัน ความปรารถนา เป็นต้น
๘. มานะ มานะอันนี้คนละอันกับคำว่ามุมานะนะครับ แต่มานะนี้หมายถึงความถือตนสำคัญตัว ทิฏฐิ ทรนง หรือบางกรณีถึงขั้นจองหองว่าตัวเองเหนือกว่าคนนั้นคนนี้(พวกชนชั้นสูงมักเป็น) หรือหลงคิดว่าตัวเองโชคร้ายจังที่ต่ำต้อยด้อยค่ากว่าคนนั้นคนนี้(ชาวบ้านรากหญ้าทาสีทาสามักเป็น) หรือบางคนอาจจะคิดบวก ว่าชั้นและเธอเท่าเทียมกัน ต่อให้คิดว่าเราเท่าเทียมกันก็ยังเป็นมานะอีกประเภทหนึ่งอยู่ดี ก็ยังมีความถืออยู่ดีว่าเฮ้ยพวกเราเท่าเทียมกันนะ เป็นไงล่ะ สังโยชน์ข้อนี้ช่างพิสดารพันลึกอย่างน่าพิศวงจริงๆ
๙.ข้อรองสุดท้าย สังโยชน์ข้อนี้มีชื่อว่าอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านหรือจิตใจที่ปรุงแต่งจินตนาการไปเรื่อยๆ Assumeไปเรื่อยสุดติ่งอย่างที่ภาษาวัยรุ่นใช้กันว่ามโน หรือมโนแจ่ม ยิ่งฟุ้งซ่านมากก็ยิ่งเป็นทุกข์นะเออไม่เชื่อลองสังเกตตัวเองขณะฟุ้งซ่านดูว่าฟีลกู้ดไหมนั่นแหละคำตอบ
จะบอกว่าถ้าใครดันตายขณะฟุ้งซ่านนี่ลำบากเลยนะ เพราะมีสิทธิ์ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานสูงมากๆเพราะจิตตอนนั้นมีแต่ความไม่ชัวร์ ไม่ชัด ไม่ถ่องแท้ หรือเรียกว่ามีความหลงไงล่ะ พอหลงก็เลยไม่มีสติสัมปชัญญะจนมัวแต่เฟ้อฟุ้งล่องลอย ตายไปก็พุ่งเข้าครรภ์หมากาไก่เป็นต้น น่ากลัวมากๆ
สังโยชน์ข้อสุดท้ายที่จะนำพาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ให้เวียนว่ายตายไปเกิดในภพภูมิต่างๆภายใน๓๑มิติภพอย่างไม่รู้จบ คือสังโยชน์กิเลสข้อ๑๐ อวิชชา อะ แปลว่าไม่มี วิชชา แปลว่าความรู้ คำคำนี้จึงแปลว่าความไม่รู้นั่นเอง หรืออีกความหมายแฝงสามารถแปลว่าความหลงผิด ความเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงของธรรมชาติก็ได้ อาทิเช่น ไม่รู้เรื่องธรรมะ ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก หรือรู้ว่าผิดรู้ว่าถูกแต่ก็ยังทำ แต่ก็ยังไม่ทำ
ไม่รู้เท่าทันทุกข์ โดนทุกข์ครอบงำสติ ไม่รู้ว่าความอยากและความไม่อยากต่างๆเป็นต้นเหตุของทุกความทุกข์ ไม่รู้ว่าจะกำจัดทุกข์ยังไง ไม่รู้ว่าต้นเหตุแรกเริ่มเดิมทีของทุกข์คืออะไร เลยไปไม่เป็น แถมยังไม่รู้ว่าทำสิ่งใดแล้วจะนำไปสู่ความเป็นทุกข์ เลยเผลอทำมันลงไปแล้วมาเสียใจภายหลัง
ซ้ำยังรู้ไม่เท่าทันว่าเหตุในอดีตกับผลที่จะตามมาในอนาคตมันเกี่ยวโยงกันยังไงเลยประมาทเลินเล่ออยู่เสมอจนเป็นทุกข์เป็นร้อนไม่รู้จบตั้งแต่เกิดจนตาย สุดท้ายก็ไม่รู้เลยว่าอะไรคือเหตุและปัจจัยของกระบวนการในการเกิดทุกข์ ดำรงอยู่ของทุกข์ และการดับไปของทุกข์ ซึ่ง๓ขั้นตอนนี้ต้องมีแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นธรรมชาติของทุกภพทุกภูมิ(แค่ระยะเวลาเท่านั้นที่สั้นยาวต่างกัน)
สังโยชน์ทั้ง๑๐ข้อเป็นสิ่งที่พญานาคผู้ถือศาสนาพุทธพยายามศึกษารับรู้ในข้อเท็จจริง เพื่อความปรารถนาจะไปเกิดในสุคติอื่นๆที่จะก้าวไปอีกขั้นให้ใกล้สู่มรรคผลนิพพาน(แปลว่าปลายทางที่จะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกตลอดไป) เมื่อเข้าสู่นิพพานแล้ว เราจะไม่มีความทุกข์อะไรเลย
เพราะไม่มีความทรมานอยากได้ใคร่ดีหรือแม้กระทั่งความหิวโหยปวดหนักปวดเบาเจ็บไข้อะไรทั้งสิ้นเนื่องจากเราไม่ต้องฝ่าฟันกับโลกอีกแล้ว เราจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลธาตุ และเต็มเป็นไปด้วยความสุขที่เป็นแบบวิมุตติ(สุขแท้ ที่ไม่ใช่ความฟิน ความมันส์ ความอร่อย ความสนุก ความเพลิน แต่หมายถึงความสุขแบบสงบและปราศจาคความทรมานกาย สิ้นจากความวุ่นวายจิตใจตลอดกาล)
เราจะอยู่ในสภาพของธาตุรู้ อาจเป็นลักษณะของPlasmaหรือLight Objectsที่สุขสงบ อาจสร้างรูปร่างได้ตามปัจจัยนำพา แต่เราจะเข้าใจความทุกข์ทุกอย่างในทุกจักรวาล แล้วหลุดพ้นจากMultiverseอันสับสนวุ่นวายอย่างโลกย์ๆแบบถาวรเสถียรอัมตัง ดังนั้นนิพพานจึงเป็นสุขอย่างยิ่งยวดโดยไม่มีประมาณ
(บทความนี้สามารถคัดลอกไปเผยแพร่ได้เลย แต่ได้โปรดให้เครดิตแก่แอดมินเตมียนาคราช เพจธรรมะแฟนตาซี ฝากกดไลค์กดแชร์ในเฟซบุ๊คด้วยนะครับ ชื่อเพจ ธรรมะแฟนตาซีน๊า)
โฆษณา