3 มี.ค. เวลา 02:47 • ความคิดเห็น
ความรักความห่วงใย นั้นมันเป็นอารมณ์ ที่จิตนั้นยึดถืออยู่ ..แต่คนเรานั้นต่างก็มีกรรมเป็นของตัว มีวิบากกรรม มีทั้งกรรมที่เป็นบุญกุศล ที่หนุนนำให้มีความสุข มีทั้งกรรมที่เป็นอกุศลหนุนนำ ให้มีทุกข์ ทุกข์กาย์ทุกข์ใจ ในการมีชีวิตอยู่ มีหลากหลายอารมณ์ที่จะปรุงแต่งเกิดขึ้นภานในกายของเค้า
หรือ จะพูดให้ดูดี ก็ว่า ทิฐิ ทัศนคติ วิสัยทัศน์ มายาคติ จินตนาการ อุปทาน อุปโลกน์ มันก็เป็นเรื่องของการปรุงแต่ง ห้อมล้อมด้วยอารมณ์โลภโกรธหลง ที่จะเกิดเป็นวังวน ในคำว่า ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาเกิดขึ้นที่จิตแต่ละดวงที่มีกายกรรม จิตก็ต้องรับกรรม ที่อาศัยในกายนั้น มีเรื่องราวที่สมหวัง และไม่สมหวังเกิดขึ้น เรื่องราวที่เค้าว่า ความสำเร็จอะไรนั้น ..มันก็เป็นไม่เที่ยง ..สำเร็จในเรื่องราวอะไร ..การงาน ..หาเงินทอง ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศต่างๆ มันเป็นเรื่องราวของการบำรุงบำเรอกายที่ไม่เที่ยง
แต่เราก็ไม่รู้จักสิ่งที่เค้าเรียกว่า ตาบันทึกภาพ หูบันทึกเสียง สิ่งเหล่านี้มันมีการบันทึกลงไปที่จิตที่ธาตุทั้งสี่ ..พอตาย จิตออกจากร่าง ..สิ่งที่บันทึกนั้นก็จะย้อนให้จิตนั้นรับรู้ว่าชีวิตที่มีกายเป็นมนุษย์ ใช้กายมนุษย์อย่างไร ที่เค้าบอกว่า เมื่อจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เค้าให้มาแก้ไข นิสัยสันดาน ..ที่ยึดถือต่างๆ ยึดสามีภรรยา บุตรธิดา ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศ ..สิ่งเราเหล่านี้ เป็นโซ่ตรวนพันธนาการจิตให้เกิดกรรม เกิดอารมณ์ทิฐิต่างมากมาย ที่เป็นอารมณ์กรรมตัวกระทำ ที่นำพาให้เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น
เค้าจึงบอกว่า เกิดมาก็ให้สร้างบุญกุศลบารมี มาพบศาสนาที่สินให้รู้จักกรรม ก็สร้างบุญกุศลหนีกรรม เราก็ช่วยบอกให้ทำตรงนี้ๆน่ะ
เพราะเป็นเรื่องสำคัญของจิต เมื่อจิตออกจากกาย จิตบันทึกอะไรไว้ ก็ต้องไปตามกรรมนั้น เมื่อไม่บุญกุศลเลย จิตมีแต่กรรม แม้เป็นเศรษฐี คนจนร่ำรวย ก็ต้องไปตามกรร เศรษฐีที่หลงใหลทรัพย์สินเงินทอง สมบัติที่หามาได้ ก็กองไว้ในโลก แล้วสิ่งที่ทะเยอทะยานอยากเป็นเศรษฐี ต้องทำอะไรบ้าง ในการใช้กายวาจาใจ ดิ้นรนทะเยอทะยาน
..แล้วเศรษฐีคล้องเวรกรรม ลากกรรมที่มาจากความเหน็ดเหนื่อยของคนจนๆ ที่ว่ากำไรนั้นมันเป็นกรรมทั้งนั้น แต่มันมองไม่เห็น เศรษฐีจึงต้องเกิดๆตายๆ ชดใช้เวรกรรมอีกยาวนาน มีบัญชีกรรมเป็นหางว่าว ต้องชดใช้เป็นโกฏเป็นกัปป
มีครั้งหนึ่ง ไปปฏิบัติในถ้ำเล็กๆ ก็มีเสียงเข้ามาบอกเรื่องราวให้ตัดขาดอารมณ์ ..ท่านก็บอกให้ตัดอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ ไหนตัดมันออกไปซิ ..พอนึกถึงเรื่องความโกรธ ก็มีรูปที่เราไปโกรธโผล่ขึ้น ก็มีเสียงบอกมาเรื่องอารมณ์ต่างๆพอประมาณ
..แล้วก็เงียบไปพัก ..เสร็จแล้วก็มีเสียงดังมาอีก ..อย่างนี้ก็บวชซี ..พอกำลังคิดเรื่องจะบวช ..ก็มีเสียงขึ้นมาอีกว่า เมืยล่ะ ..ต้องตัดขาด ..พอท่านบอกว่า ลูกล่ะ ..(ตอนนั้ยลูกได้ห้าหกเดือน) ..แค่นั้นแหละ จะทำจิตตัดขาดไม่ได้เลย ลมมันตีขึ้นมาสะอึกสะอื้น ..ทำไม่ได้เลย จากนั้น ก็มีเสียงบอกว่า เห็นมั้ย อารมณ์ที่ห่วงใยลูก ..
เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อออกจากเวียงวัง อารมณ์ห่วงลูกก็ตามมา จนท่านบอกให้อารมณ์นี้กลับเวียงวังไปก่อน ..อย่ามารบกวน พ่อจะไปเสาะแสวงหาทางพ้นทุกข์ยุติการเกิด ..พอท่านสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็กลับไปโปรดญาติพี่น้อง บุตรภรรยาในเวียงวัง
เรื่องความรักความห่วงใยนั้นมันมีกันได้ ..แต่ว่าแต่ละคนมีกรรมที่ เราไปแก้กรรมของเค้าไม่ได้ เค้าต้องแก้ไขด้วยจิตของเค้า สติปัญญาของเค้า เราก็ได้แต่เพียงบุญสร้างบุญสร้างกุศล สวดมนต์ ให้จืตมีพระเป็นที่พึ่งน่ะ จะได้อาศัยกายนี้ สร้างกายที่เป็นบุญ มีกายบุญให้จิตไปอาศัยต่อในกาลข้างหน้า .กายบุญนั้นเป็นกายของเทพยดาอินทร์พรหม หากไปตกอาศัยในกายกรรมมีแต่ทุกข์นรกเปรตอบายภูมิ ..มันต้องรับทุกข์
..องค์พระยมตะ ท่านฝากมา ให้รีบสร้างบุญกุศลบารมี พอจิตออกจากร่าง มันต้องรับกรรมรับทุกข์ตามกฏของกรรมที่อยู่กับดินฟ้าอากาศ ท่านบอกว่า มนุษย์สมัยนี้ จิตออกจากร่าง มีแต่เดินลงอบายภูมิ ท่านสงสาร ..ไม่อยากให้ไปที่ทุกข์ .ก็ฝากยอกมา ..จะได้สกัดกลั้นจิตไม่ให้ลงอบายภูมิ ..มีแต่สภาพที่ทุกข์ทรมาน
โฆษณา