5 มี.ค. เวลา 04:44 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
กรุงเทพมหานคร

จักรวาลในศาสนาพุทธคืออะไร ใช่Universeไหม? แล้วจักรวาลในไตรภูมิกถาคือสิ่งที่พระพุทธองค์สอนงั้นหรือ?

หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่าจักรวาลกันจนชินหู ในปัจจุบันคำว่าจักรวาลหมายถึงสิ่งที่อยู่ห้อมล้อมชั้นบรรยากาศโลก ห้อมล้อมระบบสุริยะ มีสภาพเป็นความมืดมิด และเต็มไปด้วยดวงดาว มากด้วยระบบสุริยะ มากด้วยแกแล๊กซี่ และเต็มไปด้วยความเวิ้งว้างว่างเปล่าไม่มีสิ้นสุด ความเวิ้งว้างอันไม่มีขอบและเขตนี้มีอีกชื่อว่าเอกภพ(สภาวะหนึ่งเดียว)
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ราว ๕๐๐-๕๐๐๐ ปีก่อน มนุษย์ยังไม่รู้จักจักรวาลเลย ในระหว่างนั้นก็มีคัมภีร์ที่เรียกว่าฤคเวทเกิดขึ้นในอนุทวีปอินเดีย จาระบรรยายถึงจักรวาลเอาไว้ว่าเป็นแผ่นเส้นแบ่ง เกิดบนเกิดล่าง ตามมาด้วยแผ่นดิน สวรรค์ชั้นฟ้า ใต้ลงมาก็เป็นดินแดนของพวกอสุรา ต่อมาฮินดูก็เอาความเชื่อเรื่องอเวจีมหานรกไปแต่งเพิ่มภายหลังว่ามีอเวจีอยู่ถัดลงไป(แต่งตามอย่างคติพุทธ)
จักรวาลในฮินดูได้ถูกแต่งขึ้นโดยกวีนักปราชญ์หลายคนในยุคฤคเวทและปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนมาถึงยุคพระเวท โดยระบุว่าจักรวาลตั้งอยู่บนดอกบัวใหญ่มหึมาเหลือประมาณ ดอกบัวนั้นมีรั้วเป็นเทือกเขาโลหะล้อมกรอบกลีบบัวเพื่อรองรับน้ำไว้ น้ำนั้นแผ่กว้างเป็นมหาสมุทรทั้งสี่มหาสมุทร
ทางเหนือของมหาสมุทรคือโลกที่ชื่อว่าอุดรกูร ทางตะวันออกคือบูรพวิเทหา ทางตะวันตกคือโลกที่ชื่ออมรโคยาน และทางใต้คือโลกที่ชื่อชมพูทวีป หรือดาวโลกของเรานี่แหละ
ใจกลางมหาสมุทรจะมีเทือกเขาทองคำที่ตีวงเป็นวงกลมซ้อนกันเจ็ดชั้นเรียกว่าหุบเขาสัตตะบริภัณฑ์ และมีภูเขาสูงอยู่ตรงกลางชื่อว่าเขาสิเนรูหรือเขาสุเมรุ มีพระอาทิตย์และพระจันทร์สลับกันโคจรวนไปวนมาอยู่บนฟ้า
มีการสลับเป็นคืนและเป็นวัน ส่วนเขาสัตตะบริภัณฑ์เจ็ดชั้นก็จะเป็นที่อยู่ของเทวดา ถ้าเทพเจ้าก็จะอยู่บนเขาสิเนรู แต่ถ้าหลุดพ้นไปโมกษะ(นฤพาน,นิพพาน)ก็จะเลยยอดเขาสิเนรูไปเลย อันนี้ว่ากันตามคติพราหมณ์
คติพราหมณ์หรือฮินดูจะมองจักรวานเป็นแผ่นวงกลมแบนๆแบบแพนเค้ก ต่อมาพระยาลิไทยกษัตริย์สมัยสุโขทัยรับเอาความเชื่ออินเดียนี้มาเรียบเรียงแต่งเป็นไตรภูมิพระร่วงออกมาเพื่อสอนธรรมะให้คนในยุคนั้นเข้าใจง่ายๆ จะได้สนใจฟังธรรมเข้าวัดเข้าวามากขึ้น
ดังนั้นไตรภูมิพระร่วงจึงมีสถานะเป็นวรรณคดีธรรมะหรือนวนิยายธรรมะชั้นสูงนั่นเอง ในไตรภูมิพระร่วงยังอธิบายเสริมเอานรกภูมิแบบพุทธเราไปใส่ไว้ข้างใต้ฐานจักรวาล จนส่งต่อความเชื่อว่านรกอยู่ใต้ดินลึกมากๆแก่ปุถุชนคนรุ่นต่อๆมา
แต่หากย้อนกลับไปอ่านพระไตรปิฎกฉบับดั้งเดิมจะรู้ได้ทันทีว่าพระพุทธองค์ไม่ได้อธิบายลักษณะของจักรวาลเอาไว้แบบฮินดู พระองค์เพียงแต่ทรงอธิบายว่าจักรวาลมีหลายล้านๆๆๆๆๆๆๆๆจำนวนจนปริมาณไม่ได้ ซึ่งโลกหรือชมพูทวีปของเราก็ตั้งอยู่ในเศษส่วนจักรวาลแห่งหนึ่งเท่านั้น
นอกจากนี้พระองค์ยังไม่เคยตรัสว่าจักรวาลมีรูปร่างเป็นทรงไหน แต่บอกว่ามีความกว้างเป็นอนันต์และมีจำนวนมากเกินจะนับ ซึ่งแต่ละจักรวาลก็มีช่วงเวลาถือกำเนิด ตั้งอยู่และแตกดับเป็นของตัวเอง
นอกจากนี้พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสแจ้งแถลงข้อสงสัยให้พระอัครสาวกทราบถึงการมีอยู่ของนรก หรือที่ภาษาบาลีมคธจะเรียกว่าทุคติ เปรตวิสัย วินิบาต นรกะ ว่าเป็นภพภูมิเสื่อมและสยดสยอง เปี่ยมทุกข์ เป็นที่ไปของสัตว์บาป
เป็นเครื่องยืนยันว่านรกมีจริง แต่ตำแหน่งนั้นไม่ได้จาระไว้ว่าเป็นใต้ดินใต้พิภพอะไรเลย หากแต่พระพุทธองค์ทรงเน้นเรื่องภพภูมิต่างๆที่มีหลากหลายตามจำนวนและขนาดของจักรวาลที่ก็มีหลากหลาย เท่ากับว่านรกนั้นย่อมตั้งอยู่ตรงไหนก็ได้ที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนั่นเอง จะมองเห็นได้ก็ต้องปฏิบัติกสิณแสงเพื่อให้จิตบรรลุทิพยจักษุจนเดินทางข้ามภพได้ ถึงจะเข้าไปรับรู้มองเห็นและสัมผัสนรกสวรรค์ได้นั่นเอง
นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังทรงบอกว่าของพวกนี้ไม่มีประโยชน์เท่ากับฝึกจิตให้ตั้งมั่นในธรรมเสียบัดนี้เดี๋ยวนี้ เพราะทำดีก็เป็นคนดีเลยเดี๋ยวนั้น ไม่จำเป็นต้องรอไปได้ดีในสวรรค์อะไรเลย หากหมั่นสั่งสมสุตะสั่งสมบุญทานศีลภาวนามัย ทุกคนก็ไปสุคติโลกสวรรค์กันอยู่แล้ว ไม่ต้องวาดฝันให้เสียเวลา
1
ดังนั้น คำว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วก็หมายถึง ทำดีแล้วอิ่มใจ ปีติใจ สุขสบายใจ ไม่เครียด ไม่ทุกข์ร้อน ไม่หวาดหวั่นต่อใครจะมาล้างแค้น ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการทำชั่วอย่างชัดเจน คำว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริงมีสองความหมายคือทำดีชั่วแล้วรู้สึกได้ทันที(ด้านจิต) กับทำดีชั่วแล้วไปรอรับผลดีผลชั่วในนรกสวรรค์ก็ว่ากันไป(ด้านกายภาพ)
คำว่าจักรวาลจึงเป็นคำที่วงการวิทยาศาสตร์ยืมมาใช้อธิบายจักรวาลแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน แต่คำว่าจักรวาลในทางวิทยาศาสตร์แคบเกินไป ไม่ได้ครอบคลุมเท่าคำว่าจักรวาลของศาสนาพุทธเรา
จักรวาลของพุทธเราค้นพบความจริงที่ว่ามันสามารถเกิด ตั้งอยู่และสูญสิ้นลงได้ เหมือนๆกับชีวิตเลือดเนื้อของพวกเรา ที่ตรงนี้ที่โลกใบนี้เคยมีจักรวาลก่อนหน้านี้ตั้งอยู่ แต่แตกดับสูญสลายไปแล้ว แล้วก็เกิดจักรวาลใหม่ขึ้นมาเป็นจักรวาลที่เราอยู่กันในปัจจุบันขณะนี้ บนโลกเบี้ยวๆใบนี้ของเรา
ถ้าจะมองสโคปให้กว้างแบบBird Eyes Viewเห็นทีผู้เขียนคงต้องบอกว่า เราต้องมองตามที่พระพุทธเจ้ามอง พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นมาหมดสิ้นแล้วว่าจักรวาลนั้นมีมากเกินคณานับ และไม่มีเวลา เพราะเวลาเป็นเรื่องที่เรามนุษย์มนาสมมติกันขึ้นมาทั้งหมด เราคิดว่าเวลาไม่ย้อนกลับและเป็นเส้นตรง คือมองคล้ายเป็นต้นถั่วงอกที่งอกไปเรื่อยๆไม่มีจุดสิ้นสุด
แต่พระพุทธศาสนาของเรามองเวลาว่าเป็นวงกลมแบบลูกเปตอง หมุนวนแบบชิงช้าสวรรค์ วนเวียนอยู่แบบไม่มีหัวไม่มีหาง ยกตัวอย่างง่ายๆให้เห็นภาพ จักรวาลหนึ่งเกิดขึ้นมา เกิดโลก มีคนเกิดบนโลก ใช้ชีวิต ต่อมาความดีงามหดหาย ความเสื่อมทรามเข้าแทรก โลกวิบัติ เกิดภัยพิบัติต่างๆเข้าทำลายล้างโลก โลกแตกดับ ดาวดวงอื่นทุกดวงแตกดับ จักรวาลก็ค่อยๆยุบตัวแตกดับตาม
จากนั้นจักรวาลใหม่ก็ผลิขึ้น แผ่ขยาย เกิดโลก มีคนเกิดบนโลก ใช้ชีวิต ต่อมาความดีงามหดหาย ความเสื่อมทรามเข้าแทรก โลกวิบัติ เกิดภัยพิบัติต่างๆเข้าทำลายล้างโลก โลกแตกดับ ดาวดวงอื่นทุกดวงแตกดับ จักรวาลก็ค่อยๆยุบตัวแตกดับตามอีก
ทีนี้พอมองเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่าจักรวาลของเรามันเหลือประมาณ เกินอสงไขยไปอีก นับเท่าไรก็นับไม่หมด แต่ที่น่าพิสดารพิศวงก็คือมันกลับวนอยู่แค่เนี้ย วนเวียนอยู่โง่ๆของมันแบบเนี๊ย ดูไปดูมาก็ไม่มีแก่นสารอะไรเลย ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาเผยความจริงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครรู้ว่าอ้าวว.. เอ็งวนลูปอยู่นี่หว่า
2
เพราะฉะนั้นรู้ตัวสักทีเถอะครับว่าดวงจิตของคุณวนเวียนเกิดดับเกิดดับ ตายเกิด ตายเกิด มาแล้วนับไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆๆชาติภพ เป็นมาแล้วทุกสัตว์เลย(รวมพรหมเทพเทวาพญานาคมนุษย์และทุคติทั้งหมด) จำไว้เลยว่าตรงที่เราอยู่ เคยมีโลกใบก่อนหน้าตั้งอยู่และแตกดับมาแล้วจ้ะ เผลอๆพวกเราก็เคยไปเกิดในโลกนั้นพร้อมทำเรื่องซ้ำซากแบบที่ทำอยู่ทุกวันนี้แหละ
1
เพียงแต่เราจำไม่ได้ก็เท่านั้น เพราะธรรมชาติทำให้เราจำไม่ได้ ถ้าจำได้สมองคงพังเพราะมีเรื่องราวเป็นล้านๆๆๆๆเรื่องในความทรงจำ ทั้งเลวสยองทั้งดีประเสริฐ นี่พวกเรายังโชคดีนะที่เกิดในจักรวาลที่มีพระพุทธเจ้าจึงได้รู้ธรรมะ ถ้าไปเกิดในจักรวาลโชคร้ายไม่มีพระพุทธเจ้า โอ้โห ไม่เดินไปไหนก็เอามีดฟันกันแหลกเลยเหรอ
4
แต่ต่อให้จักรวาลแตกดับ ก็อย่าคิดนะจ๊ะว่าถ้าตกนรกอยู่แล้วจะรอดจากโทษทัณฑ์ เพราะหลงมโนนึกไปว่าดวงจิตสัตว์นรกจะแตกดับตามไปด้วย หมดความทรมาน เปล่าเลยจ้า จิตไม่มีวันดับ แต่จะถูกย้ายไปชดใช้กรรมในนรกของจักรวาลอื่นที่ยังไม่แตกดับต่างหากเล่า จิตเขาไม่มีวันหายไปนะจ๊ะ เขารอวันชดใช้กรรมจนหมดแล้วรับรู้ทางหลุดพ้นจนบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น(ทุกดวงจิตมีปลายทางเป็นที่เดียวกันหมดคือนิพพาน-คือสิ้นการเวียนว่ายตายเกิด เป็นพลังงานบรมสุข วิมมุตติสุข ในโลกอุดรอันเป็นนิรันดร)
แต่ดวงจิตไหนจะเดินทางไปถึงเส้นชัยที่เรียกว่านิพพานได้ก่อนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางปัญญาเหนือโลกย์ ถ้ายังข้องแวะในโลกย์หรือกาม(รักโลภโกรธหลง)ไม่ขาดสายเลย ก็ไปถึงช้ามาก บางรายจักรวาลที่ตนอยู่ แตกดับไป แล้วเกิดจักรวาลใหม่แล้วแตกดับไปอีกสามล้านล้านล้านครั้งก็ยังย่ำอยู่ที่เดิมก็มี
เริ่มกลัว ขยาด เข็ด กับการเวียนว่ายตายเกิดมั่งหรือยังจ๊ะ ใครชอบก็ไม่ว่ากันเพราะมันก็มีทั้งทุกข์ทั้งสุข(กามสุข สุขทางโลกย์) ส่วนผู้เขียนรู้สึกไม่ชอบและเข็ดมากเลย (ขนาดแค่ผิดใจกับพ่อแม่ก็รู้สึกเครียดและทุกข์มากที่โดนตำหนิจนต้องเอาธรรมะบำบัด กว่าจะทำใจได้และเข้าหน้ากันติดก็ผ่านมาสี่ห้าปีกันเลย กว่าผู้เขียนจะบรรลุมรรคผลนิพพานก็คงต้องรอไปอีกหลายล้านชาติ แต่ก็ยังดีกว่าไม่เริ่มเลย)
((สามารถคัดลอกบทความนี้ไปใช้ได้เลยแต่ต้องให้เครดิตแอดมินเตมียนาคราช เพจเฟซบุ๊ค ธรรมะแฟนตาซี เพื่อการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ))
โฆษณา