13 มี.ค. เวลา 10:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จาก ‘สมองไหลออก’ สู่ ‘สมองไหลกลับ’ ทำไม ‘เวียดนาม’ เกือบหลับแต่กลับมาได้?

ภาพของชาวเวียดนามพูดคุยกันด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างไร้ที่ติอาจเป็นภาพที่หลายคนคุ้นตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนเวียดนามในหลายเมืองของสหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวเวียดนามเหล่านั้นอพยพย้ายถิ่นฐานหนีความยากลำบากจากสงครามเวียดนามที่ลากยาวถึง 15 ปี ตั้งแต่ค.ศ. 1960 ไปจนถึงวันที่ไซ่ง่อนแตกในปี 1975 โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเวียดนามใต้ที่มีแนวคิดแบบเสรีนิยม
ตั้งแต่ช่วงสงครามจนถึงเมื่อสิบปีก่อนหน้า ชาวเวียดนามยังอพยพย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศบ้านเกิดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มีสถานะทางสังคมที่ดีก็มีโอกาสออกไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศซึ่งส่วนหนึ่งก็ตัดสินใจไม่กลับบ้านเกิดและลงหลักปักฐานในต่างประเทศ​
นอกจากปัจจัยเรื่องสงครามระหว่างปี 1960 – 1975 แล้ว งานวิจัย “From Brain Drain and Brain Gain to Brain Circulation: Conceptualizing Re-Expatriation Intentions of Vietnamese Returnees” ยัง อธิบายการย้ายถิ่นฐานของชาวเวียดนามว่าในช่วงหนึ่งเวียดนามเผชิญ "สภาวะสมองไหล” เนื่องจากพวกเขาคิดว่าสามารถหารายได้และโอกาสในการทำงานที่ดีมากกว่าอยู่ในเวียดนาม
ธนาคารโลก (World Bank) รายงานว่า ครัวเรือนในเวียดนามส่งลูกหลานออกไปเรียนในต่างประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 1998 อยู่ที่เพียง 7,770 คน แต่ในปี 2018 กลับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1.09 แสนคน
ที่สำคัญ ตั้งแต่ม.ค. - ก.พ. 2024 เวียดนามกลายไปเป็นประเทศที่ส่งนักเรียนไปเรียนที่ต่างประเทศมากที่สุดในอาเซียนคือประมาณ 1.37 แสนคน ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 5.9 หมื่นคน มาเลเซีย 4.8 หมื่นคนและไทย 2.8 หมื่นคน โดยประเทศที่ชาวเวียดนามไปเรียนมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐ และออสเตรเลีย
ที่สำคัญ สัดส่วนนักศึกษาชาวเวียดนามในสหรัฐนั้นอยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากในช่วงปี 2003 ที่สภาคองเกรสเปิดโครงการให้ทุนการศึกษา Vietnam Education Foundation (VEF) เพื่อรองรับนักศึกษาหัวกะทิชาวเวียดนาม ซึ่งใช้เงินไปทั้งสิ้นกว่า 5 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 185 ล้านบาท)
ศิษย์เก่าของโครงการดังกล่าวก็นับเป็นนักเรียนที่เก่งอันดับต้นๆ ในห้องเรียน โดยออกมาเป็นทั้งผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพ Palexy บริษัทพัฒนาเทคโนโลยี Machine Leaning, Zalo แอปพลิเคชันแชตยูนิคอร์นสัญชาติเวียดนาม, และ VNG สื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมจากชาวเวียดนามมากกว่า Facebook เสียอีก
🇻🇳 จาก ‘สมองไหลออก’ สู่ ‘สมองไหลกลับ’
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเวียดนามอาจกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคสมองไหลออกสู่ยุค “สมองไหลกลับ” เพราะสำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานเมื่อช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมาว่า ประเทศคอมมิวนิสต์อย่างเวียดนามกำลังก้าวข้ามจากการเป็น “แหล่งจ้างผลิตราคาถูก” ไปเป็น “ซิลิคอน วัลเลย์แห่งเอเชีย” เนื่องจากบรรดานักศึกษาที่ออกไปเรียนที่ต่างประเทศเริ่มกลับมาเห็นความหวังของประเทศ
1
โดยจำนวนประชากรที่โยกย้ายออกจากเวียดนามสุทธิลดน้อยลงจากเดิมในปี 2001 อยู่ที่ 162,571 คน ไปอยู่ที่เพียง 4,378 คนในปี 2011 และตัวเลขดังกล่าวแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่นั้นมา ซึ่งต่างจากยุคสมัยที่ผู้คนอพยพออกไปประเทศโลกที่หนึ่งเพื่อแสวงหาโอกาสของชีวิต
นอกจากนี้ สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย ยังรายงานว่า ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอย่างฮาร์วาดและเคมบริดจ์เริ่มกลับมาที่เวียดนามและก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมาก เช่น Tap Tap คอมมิวนิตี้เกมที่ได้รับรางวัล Uber Vietnam และ สตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์อย่าง Abivin เป็นต้น
ประเด็นสำคัญที่ทำให้บรรดาหัวกะทิเหล่านั้นเริ่มมีความหวังกับประเทศมากขึ้นก็หนีไม่พ้นปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างแรกคือตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมาอยู่ที่ 4.088 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2022
รวมทั้ง ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเวียดนามยังเติบโตต่อเนื่องจากเดิมในปี 1970 อยู่ที่เพียง 70,000 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 1.79 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 โดยนักลงทุนต่างชาติมักเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ และพลังงาน
ในช่วงปีที่ผ่านมา Intel บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐก็ทุ่มเงินมากกว่า 5 หมื่นบาทสร้างโรงงานในโฮจิมินห์ซิตี้ รวมทั้งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จำนวนมากต่างต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น Nvidia หรือ Apple
ประกอบกับตัวเลขรายได้ประชากรต่อหัว (GDP Per Capita) ก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันจากเดิมปี 1985 อยู่ที่ 235.7 ดอลลาร์ (ประมาณ 8,720.9 บาท) มาอยู่ที่ 4,163.5 ดอลลาร์ (ประมาณ 154,049.5 บาท) ในปี 2022 แม้จะยังต่ำกว่าประเทศไทยในปีเดียวกันซึ่งอยู่ที่ 6,910 ดอลลาร์ (ประมาณ 255,670 บาท)
โดยตัวเลขรายได้ต่อหัวของประชากรนั้นโตล้อไปกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดโดยในปี 2022 อยู่ที่ 4.088 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งในปีเดียวกันขนาดจีดีพีของไทยอยู่ที่ 4.9542 แสนล้านดอลลาร์
โฆษณา