17 มี.ค. 2024 เวลา 05:10 • ประวัติศาสตร์

"เยรูซาเลม (Jerusalem)" ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่ง 3 ศาสนา

"เยรูซาเลม (Jerusalem)" คือหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และเป็นเมืองที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
1
เรื่องราวของเมืองนี้เป็นอย่างไร? ผมจะเล่าให้ฟังครับ
นอกเหนือจากเป็นเมืองที่เก่าแก่เป็นลำกับต้นๆ ของโลกแล้ว เยรูซาเลมยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย
เยรูซาเลมตั้งอยู่ในประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ในตะวันออกกลาง โดยในแผนที่โบราณของคานาอัน (Canaan) บริเวณที่คือเยรูซาเลมในปัจจุบัน ปาเลสไตน์ และซีเรีย เยรูซาเลมนั้นจะอยู่ตรงทางแยกระหว่างแอฟริกา เอเชีย และยุโรป
2
เยรูซาเลม (Jerusalem)
ด้วยความที่มีที่ตั้งอยู่กึ่งกลางทวีปใหญ่ทั้งสามทวีป ทำให้เยรูซาเลมนั้นคับคั่งไปด้วยผู้คน การค้าคึกคัก และวัฒนธรรมของแต่ละที่มีการผสมกลมกลืนกัน
ศูนย์กลางการปกครองและที่ตั้งของรัฐบาลอิสราเอลก็อยู่ในเยรูซาเลม โดยเยรูซาเลมนั้นตั้งอยู่บนเขา และล้อมรอบด้วยหุบเขาอีกที และนครแห่งนี้ก็มีผู้คนอาศัยอยู่กว่าหนึ่งล้านคน มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเยรูซาเลมอีกกว่าปีละสี่ล้านคน
2
ย่านสำคัญในเยรูซาเลมก็คือบริเวณเมืองเก่าหรือ "Old City" ซึ่งเป็นบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงกว่า 15 เมตรและมีอายุกว่า 500 ปี โดยในช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 ชาวเมืองเยรูซาเลมแทบจะทุกคนอาศัยอยู่ในบริเวณ Old City
2
Old City นั้นเต็มไปด้วยตรอกและบันไดที่สูงชันมากมาย ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปในเขาวงกต ตึกรามบ้านช่องก็ทำมาจากหินโบราณ โดยหินปูนเหล่านี้ ในทีแรกก็มีสีขาว หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป หินเหล่านี้ต้องเผชิญกับทั้งแสงแดดและสายฝน ทำให้หินปูนเหล่านี้เริ่มกลายสภาพ จากสีขาวเปลี่ยนเป็นสีทองที่เริ่มเปล่งประกาย ทำให้หากมองแบบเผินๆ เยรูซาเลมนั้นดูราวกับดินแดนสีทองที่ตั้งอยู่บนเขา
Old City
Old City นั้นแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ได้แก่ ย่านชาวคริสต์ ย่านชาวมุสลิม และย่านชาวยิว โดยทั้งสามย่านนี้มีชื่อมาจากการที่แต่ละย่านนั้นมีผู้คนในศาสนานั้นๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนย่านที่สี่ นั่นคือย่านอาร์เมเนีย เป็นย่านที่เล็กที่สุด มีผู้คนอาศัยอยู่ราว 2,000 หลังคาเรือน และผู้คนในย่านนี้ส่วนใหญ่ก็สืบเชื้อสายมาจากชาวอาร์เมเนีย ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ห่างจากอิสราเอลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 1,300 กิโลเมตร
4
บริเวณ Old City นั้นมีขนาดเล็ก ไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นเมื่อมีคนเข้ามาอาศัยอยู่ในเยรูซาเลมมากขึ้น ผู้คนจำนวนมากจึงเลือกที่จะตั้งรกรากนอกบริเวณ Old City ไปทางตะวันตก โดยบริเวณนี้จะเป็นย่านใหม่ที่ทันสมัย เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ สถานบันเทิง และโรงแรม
6
นักท่องเที่ยวส่วนมากเดินทางมาเพื่อเยี่ยมชม Old City เนื่องจากบริเวณ Old City นั้นเป็นจุดสำคัญสำหรับสามศาสนา นั่นคือศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม โดยบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาทั้งสามนี้กินพื้นที่กว้างใหญ่บริเวณ Old City
1
ชาวยิวมักจะไปสวดมนต์ที่บริเวณ "กำแพงประจิม (Western Wall)" ส่วนชาวอิสลามก็มักจะไปรวมตัวกันที่ "โดมแห่งศิลา (Dome of the Rock)" ซึ่งเป็นศาสนสถานที่สำคัญ และชาวคริสต์ก็จะไปที่ "โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)"
1
โดมแห่งศิลา (Dome of the Rock)
ทั้งชาวคริสต์ ชาวยิว และชาวมุสลิม ต่างเห็นตรงกันว่าเยรูซาเลมคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากแต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเยรูซาเลมก็แปดเปื้อนไปด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อและความรุนแรง โดยสาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากความขัดแย้งทางศาสนา
สำหรับรากฐานของคำว่า "เยรูซาเลม (Jerusalem)" นั้นก็ไม่แน่ชัดนัก หากแต่เคยมีการแปลในภาษาฮีบรู โดยแปลได้ว่า "นครแห่งสันติภาพ"
แต่ดูเหมือนปัจจุบัน เยรูซาเลมยังคงห่างไกลจากสันติภาพนัก
โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)
หากย้อนกลับไปนานกว่า 5,000 ปีก่อน ได้มีชนเผ่าเร่ร่อนได้ตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ต่อมาคือเยรูซาเลม
ดินแดนที่พวกเขาเลือกตั้งถิ่นฐานนี้มีลักษณะแห้งแล้งและเต็มไปด้วยโขดหิน ในช่วงหน้าร้อนอากาศก็ร้อนและแห้งแล้ง ส่วนหน้าหนาวนั้นอากาศก็หนาวเย็น และบริเวณนี้ก็ยังอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลและเส้นทางการค้า
แต่ถึงจะดูแล้วเป็นดินแดนที่ไม่น่าตั้งถิ่นฐานเท่าใดนัก แต่ภูมิประเทศของเยรูซาเลมก็มีข้อดี
หนึ่งก็คือบริเวณนี้นั้นล้อมรอบด้วยหุบเขาสูงชัน ทำให้หากข้อศึกบุกมา การจะเข้าโจมตีก็ทำได้ยาก อีกข้อก็คือในบริเวณไม่ไกลนักยังมีบ่อน้ำพุที่ให้น้ำได้ตลอดทั้งปี ซึ่งน้ำก็คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คน ทั้งใช้ในการอุปโภคและใช้ในการเพาะปลูก
ลักษณะภูมิประเทศของเยรูซาเลม
เมื่อมีคนมาตั้งถิ่นฐานในเยรูซาเลมมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีการสร้างกำแพงเมืองขึ้นเพื่อปกป้องชาวเมือง และมีการสร้างอุโมงค์ลับเพื่อใช้ไปยังบริเวณน้ำพุ เนื่องจากน้ำพุนั้นอยู่นอกกำแพงเมือง ดังนั้นหากต่อให้มีกองทัพศัตรูเข้าปิดล้อม ประชาชนก็ยังสามารถใช้อุโมงค์ลับออกไปยังน้ำพุได้
2
แต่อุโมงค์ลับนี้เองก็เป็นต้นเหตุทำให้เมืองแตกในเวลาต่อมา เนื่องจากเมื่อราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้มาถึง โดยชาวยิวกลุ่มนี้ไม่มีถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และได้เร่ร่อนในทะเลทรายมาเป็นเวลานานหลายปี
ผู้นำชาวยิวกลุ่มนี้คือชายที่ชื่อว่า "เดวิด (David)" หรือก็คือ "พระเจ้าเดวิด (David)"
ในคัมภีร์ภาษาฮีบรูได้กล่าวว่า พระเจ้าเดวิดทรงค้นพบอุโมงค์ลับ และคนของพระเจ้าเดวิดก็น่าจะใช้อุโมงค์ลับนี้ลอบเข้าไปในเมือง เปิดประตูเมือง ทำให้เยรูซาเลมตกเป็นของกองทัพพระเจ้าเดวิดในที่สุด
พระเจ้าเดวิด (David)
พระเจ้าเดวิดได้สถาปนาให้เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล โดยพระองค์ทรงตั้งเมืองยังจุดที่สูงที่สุด รอบๆ พื้นที่เขาโมไรยาห์ (Moriah) ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของเยรูซาเลม และวางแผนที่จะสร้างวิหารชาวยิวขึ้นที่นั่น
พระเจ้าเดวิดนั้นเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชา พระองค์ทรงเป็นนักรบที่เก่งกาจ หากแต่ตามคัมภีร์ภาษาฮีบรูนั้น พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ว่าผู้ที่ฝักใฝ่สันติภาพ ไม่ใช่นักรบ คือผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้สร้างวิหาร
เรื่องราวในคัมภีร์ดำเนินต่อไปถึงพระราชโอรสในพระเจ้าเดวิด นั่นคือ "พระเจ้าโซโลมอน (Solomon)" ซึ่งขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเดวิดที่สวรรคต
พระเจ้าโซโลมอนทรงเป็นผู้ปกครองที่ฉลาดหลักแหลมและร่ำรวย และในรัชสมัยของพระองค์ เยรูซาเลมก็ขยายใหญ่ขึ้น จำนวนประชากรนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าสองเท่า การค้าก็รุ่งเรืองอย่างมาก
1
พระเจ้าโซโลมอน (Solomon)
พระเจ้าโซโลมอนทรงตั้งพระทัยจะสานต่อแผนของพระราชบิดา โดยพระองค์ทรงว่าจ้างช่างให้มาสานต่อแผนการสร้างวิหารของพระเจ้าเดวิด โดยการก่อสร้างนั้นใช้คนงานกว่า 30,000 คน และก่อสร้างนานถึงเจ็ดปี
1
เมื่อก่อสร้างเสร็จ วิหารนั้นก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ สวยงามอลังการ ประดับประดาอย่างหรูหรา โดย "พระวิหารโซโลมอน (Solomon's Temple)" นั้นมีส่วนที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือส่วนที่อยู่ลึกที่สุดที่เรียกว่า "อภิสุทธิสถาน (Holy of Holies)"
1
บริเวณอภิสุทธิสถานนั้นเป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ์ และมีข้อกำหนดว่ามีเพียงบุคคลเดียวที่จะผ่านเข้าไปได้ นั่นก็คือมหาปุโรหิต (High Priest) เป็นเพียงผู้เดียวที่จะเข้าไปได้ และก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ทุกวัน จะเข้าไปได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น
2
พระวิหารโซโลมอน (Solomon's Temple)
อภิสุทธิสถานเป็นบริเวณที่ใช้เก็บ "หีบแห่งพันธสัญญา (Ark of the Covenant)" ซึ่งเป็นหีบไม้ทองคำ ใช้เก็บ "บัญญัติ 10 ประการ (Ten Commandments)" ซึ่งเป็นบัญญัติที่สลักลงบนแผ่นจารึกสองแผ่น และพระเจ้าได้ประทานให้ "โมเสส (Moses)”
2
พระวิหารโซโลมอนได้กลายเป็นศูนย์กลางชาวยิวในเยรูซาเลม ผู้คนต่างเดินทางมาเพื่อสวดมนต์และฉลองในเทศกาลสำคัญ รวมทั้งนักท่องเที่ยวก็ยังเดินทางมาเยี่ยมชมอีกด้วย
แต่เมื่อสิ้นพระเจ้าโซโลมอน เวลาแห่งความรุ่งเรืองก็ได้สะดุดลง
โมเสสกับบัญญัติ 10 ประการ
อาณาจักรได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน นั่นคืออาณาจักรใต้และอาณาจักรเหนือ โดยอาณาจักรเหนือนั้นเป็นที่รู้จักในนาม "อิสราเอล (Israel)" ส่วนทางใต้นั้นเรียกว่า "ยูดาห์ (Judah)"
300 ปีต่อมา เมื่อ 586 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพบาบิโลนได้เข้าโจมตีเยรูซาเลม
เมืองถูกปล้น ศาสนวัตถุถูกขโมย วิหารก็ถูกเผา และชาวเมืองเยรูซาเลมก็ถูกจับเป็นเชลย ส่งไปยังบาบิโลน
จากเรื่องเล่าในคัมภีร์ภาษาฮีบรู ได้กล่าวว่า ถึงแม้กลุ่มชาวยิวจะถูกจับเป็นเชลย แต่ต่างก็ตั้งมั่นว่าจะต้องบูรณะวิหารขึ้นมาใหม่ และในอีก 50 ปีต่อมา เมื่ออาณาจักรบาบิโลนถูกยึดครอง ชาวยิวก็ได้เดินทางกลับไปยังเยรูซาเลม และก็ทำในสิ่งที่ตั้งมั่น
มีการสร้างวิหารแห่งที่สองขึ้นในบริเวณที่วิหารแห่งแรกเคยตั้งอยู่ เพียงแต่วิหารแห่งที่สองนี้มีขนาดเล็กกว่าแห่งแรกมาก
เมื่อราว 20 ปีก่อนคริสตกาล "พระเจ้าเฮโรดมหาราช (Herod the Great)" กษัตริย์แห่งยูเดีย ได้ทรงมีรับสั่งให้ขยายขนาดของวิหารออกไปให้มีขนาดใหญ่โตขึ้น โดยผู้ที่นับถือศาสนายูดายเรียกวิหารนี้ว่า "เนินพระวิหาร (Temple Mount)"
พระเจ้าเฮโรดมหาราช (Herod the Great)
เนินพระวิหารนั้นขยายพื้นที่ออกไปใหญ่โต และมีการสร้างกำแพงเพื่อป้องกันเนินพระวิหาร อีกทั้งยังมีสะพานและบันไดที่ทอดยาวสู่เมืองเก่าในเยรูซาเลม และวิหารแห่งที่สองนี้ก็ตกแต่งประดับประดาด้วยทองคำและเงิน ดูหรูหราและมหัศจรรย์
วิหารแห่งที่สองนี้ก็มีอภิสุทธิสถาน หากแต่อภิสุทธิสถานของวิหารแห่งที่สองนี้มักจะเป็นห้องโล่งๆ เนื่องจากศาสนวัตถุจำนวนมากได้สูญหายไปตั้งแต่คราวที่กองทัพบาบิโลนบุกโจมตี
และก็เช่นเดียวกับวิหารแรก วิหารแห่งที่สองนี้ก็ไม่ได้ยืนยงตลอดกาล
ในปีค.ศ.66 (พ.ศ.609) ชาวเยรูซาเลมได้ก่อจลาจล ต่อต้านอำนาจจักรวรรดิโรมัน โดยชาวเยรูซาเลมต่างทนไม่ไหวกับการถูกขูดรีดภาษี รวมทั้งการกดขี่ต่างๆ จากโรมัน โดยทางการโรมันก็ส่งกองทัพมาปิดล้อมเมือง ก่อนจะทำการบุกโจมตีเมืองและเผาวิหารนี้ลงอีกครั้ง
ชาวยิวก็ยังคงตั้งมั่นว่าจะบูรณะวิหารนี้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการบูรณะเป็นครั้งที่สาม
1
สำหรับชาวยิว บริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเยรูซาเลมคือบริเวณ "กำแพงประจิม (Western Wall)"
กำแพงประจิมนั้นสูง 18 เมตร และทำมาจากหินปูนโบราณ และนักประวัติศาสตร์จำนวนมากก็เชื่อว่ากำแพงประจิมนั้นอยู่ใกล้กับวิหารที่ถูกเผา ชาวยิวจำนวนมากจึงยึดถือว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณที่สำคัญ
1
กำแพงประจิม (Western Wall)
สำหรับศาสนายูดายของชาวยิวนั้น เป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่และเป็นหนึ่งในสามศาสนาหลักของเยรูซาเลม หากแต่เมื่อพระเจ้าเฮโรดมหาราชสร้างวิหารที่สองเสร็จ ก็ได้เกิดศาสนาใหม่ขึ้นมาในหมู่ชาวยิว
จากเรื่องเล่าในคัมภีร์ สายเลือดของพระเจ้าเดวิดได้ถือกำเนิดขึ้นในเมือง "เบธเลเฮม (Bethlehem)" ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเยรูซาเลม
เด็กชายคนนั้นมีนามว่า "เยซู (Jesus)" หรือที่เราคุ้นเคยในนามของ "พระเยซู"
ขณะทรงพระเยาว์ "โจเซฟ (Joseph)" และ "แมรี (Mary)" บิดาและมารดาของพระเยซู ได้พาพระเยซูไปยังเยรูซาเลม และพระเยซูก็ได้ไปเยี่ยมชมวิหารแห่งที่สองและพูดคุยกับนักบวชชาวยิว และเหล่านักบวชก็ต่างชื่นชมพระเยซูเนื่องจากความรอบรู้เฉลียวฉลาด
1
พระเยซู (Jesus)
เมื่อเติบใหญ่ พระเยซูก็ได้เริ่มออกเทศน์ พระองค์ทรงเทศนาเรื่องความรักและสันติภาพ พระองค์ทรงสอนว่าทุกคนนั้นเท่าเทียมกัน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะรวยหรือจนก็ตาม และพระองค์ยังเทศนาอีกว่าพระเจ้านั้นสำคัญกว่าผู้ปกครองชาวโรมัน
ผู้คนต่างเชื่อและฟังพระเยซู หลายคนก็คิดว่าพระเยซูคือผู้ที่มาปลดปล่อยชาวยิวให้เป็นอิสระจากศัตรู
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะชอบในสิ่งที่พระเยซูสอน ผู้นำชาวยิวต่างก็ไม่เห็นด้วยและไม่พอใจที่คำสอนของพระเยซูนั้นแตกต่างจากคำสอนของตน ชาวโรมันเองก็กังวลว่าพระเยซูอาจจะเป็นผู้นำให้เกิดจลาจลต่อต้านโรมัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ทางการโรมันจึงจับกุมพระเยซูและตัดสินให้ประหาร โดยตามคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้น ได้เล่าว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนบนเขานอกเมือง
พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
สาวกของพระเยซูนำร่างของพระองค์ไปเก็บไว้ในถ้ำ และเมื่อผ่านไปสามวัน เหล่าสาวกก็ได้กลับไปยังถ้ำและก็ไม่พบร่างของพระเยซู และก็ประกาศว่าพระเยซูนั้นฟื้นคืนพระชนม์
1
สาวกของพระเยซูได้นำคำสอนของพระเยซูมาจดบันทึกไว้ ซึ่งต่อมาบันทึกนี้ก็ได้กลายเป็น "พันธสัญญาใหม่ (New Testament)" และคำสอนนี้ก็ไม่ใช่ของศาสนายูดาย แต่เป็นศาสนาใหม่
นั่นคือ "ศาสนาคริสต์"
ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูนั้นเป็นบุตรแห่งพระเจ้า และการสังหารพระเยซูก็ไม่ได้ทำให้ความไม่สงบในเยรูซาเลมนั้นจบลง โดยในทศวรรษหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ชาวเยรูซาเลมได้ก่อจลาจล
จักรพรรดิโรมันทรงส่งกองทัพเข้ามาปราบปรามจลาจล โดยในปีค.ศ.70 (พ.ศ.613) กองทัพโรมันได้เข้าโจมตีเยรูซาเลม และในช่วงนี้เอง วิหารที่สองก็ได้ถูกเผา
กองทัพโรมันได้ทำลายอาคารต่างๆ มากมาย อีกทั้งยังทำลายกำแพงเมืองลง และได้สังหารผู้คนนับพัน
1
เยรูซาเลมนั้นเหลือแต่ซากเป็นเวลานานหลายปี ก่อนที่จักรวรรดิโรมันจะเริ่มทำการบูรณะเมือง
"จักรพรรดิเฮเดรียน (Hadrian)" ได้ทรงตั้งนามเมืองใหม่นี้ว่า "Aelia Capitolina" ในปีค.ศ.130 (พ.ศ.673) และทรงสร้างเมืองใหม่ โดยเมืองใหม่นี้จะมีบรรยากาศแบบโรมัน ไม่ว่าจะเป็นอาคารต่างๆ ทั้งโรงละคร ตลาด รวมทั้งโรงอาบน้ำ
ในช่วงเวลานี้ จักรพรรดิเฮเดรียนไม่อนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเมือง และได้เปลี่ยนชื่อดินแดนรอบๆ เมือง อีกทั้งยังสร้างวิหารในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของวิหารที่สอง
ชาวคริสต์จำนวนมากถูกจับกุมและสังหาร แต่ถึงอย่างนั้นชาวคริสต์ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป และศาสนาคริสต์ก็เบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ
จักรพรรดิเฮเดรียน (Hadrian)
และเมื่อถึงค.ศ.312 (พ.ศ.855) ก็เริ่มถึงจุดรุ่งเรืองของชาวคริสต์ โดยในปีนั้น "จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)" ทรงเห็นสัญลักษณ์กางเขนไฟบนฟ้าก่อนจะออกรบ และพระองค์ก็ทรงนับถือศาสนาคริสต์ ไม่ทรงเชื่อในพระเจ้าหลายองค์
ในปีค.ศ.325 (พ.ศ.868) จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชได้ทรงส่งพระราชมารดา นั่นคือ "จักรพรรดินีเฮเลนา (Helena, mother of Constantine I)" ไปยังเยรูซาเลม โดยพระองค์ทรงต้องการให้พระราชมารดาตามหาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามที่ระบุในพันธสัญญาใหม่
ในเวลานั้น จักรพรรดินีเฮเลนาทรงมีพระชนมายุกว่า 70 พรรษาแล้ว และพระองค์ก็ทรงนับถือศาสนาคริสต์มาก่อนจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชซะอีก และพระองค์ก็เป็นผู้ที่ทรงเล่าเรื่องของศาสนาคริสต์ให้จักรพรรดิคอนสแตนตินฟัง
1
จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)
เมื่อจักรพรรดินีเฮเลนาเสด็จมาถึงเยรูซาเลม พระองค์ก็ทรงพบกับสถานที่ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ โดยผู้คนบอกว่าสุสานของพระเยซูนั้นอยู่ใต้วิหารที่พวกโรมันสร้าง
3
จักรพรรดินีเฮเลนาจึงทรงมีรับสั่งให้รื้อถอนวิหารโรมัน และในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของวิหารแรก พระองค์ก็ทรงมีรับสั่งให้สร้าง "โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)"
1
จากนั้น จักรพรรดินีเฮเลนาก็ทรงให้สร้างโบสถ์ยังจุดอื่นๆ ในเยรูซาเลม และทรงรวบรวมวัตถุต่างๆ ในสมัยพระเยซู ซึ่งการทรงงานของจักรพรรดินีเฮเลนาก็ทำให้เกิดกระแสความสนใจขึ้นมาในเมือง ทำให้ชาวคริสต์เริ่มเดินทางมายังเยรูซาเลมเพื่อชมสถานที่ต่างๆ ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยการเดินทางมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เรียกว่า "การจาริกแสวงบุญ (Pilgrimage)"
การเดินทางจากอังกฤษหรือสเปนหรือแม้แต่อิตาลีมายังเยรูซาเลมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เดินทางแสวงบุญต้องพกเงินสดมาเป็นจำนวนมากเพื่อใช้จ่ายระหว่างทาง และก็มีความเสี่ยงในการถูกโจรดักจี้ปล้น หากแต่เหล่าผู้แสวงบุญก็ไม่ย่อท้อ พวกเขาเชื่อว่าการที่ได้ไปเห็นสถานที่ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์จะทำให้พวกเขาเข้าใกล้พระเจ้าได้มากขึ้น
จักรพรรดินีเฮเลนา (Helena, mother of Constantine I)
เมื่อศาสนาคริสต์เบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ ธรรมเนียมการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ก็ค่อยๆ จางหายไป โดยในปีค.ศ.313 (พ.ศ.856) จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชได้ทรงประกาศให้ศาสนาคริสต์นั้นถูกกฎหมาย และเมื่อถึงค.ศ.380 (พ.ศ.923) ศาสนาคริสต์ก็ได้กลายเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน
1
แม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้เดินทางไปแสวงบุญยังเยรูซาเลม และยังมีคนอีกจำนวนมากที่ต้องการจะมาศึกษา มาเห็นสถานที่จริงที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู โดยสถานที่ที่น่าจะได้รับการยอมรับว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดก็คงจะไม่พ้นโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์
เมื่อมาถึงศตวรรษที่ 7 เยรูซาเลมก็เป็นเมืองที่มีสองศาสนา นั่นคือศาสนายูดายของชาวยิวกับศาสนาคริสต์ของชาวคริสต์ ก่อนที่ชายที่มีนามว่า "มูฮัมหมัด (Muhammad)" จะเป็นผู้นำศาสนาที่สามเข้ามายังเยรูซาเลม
นั่นคือ "ศาสนาอิสลาม"
มูฮัมหมัดนั้นมาจากเมืองเมกกะ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเยรูซาเลม ห่างออกไปกว่า 1,200 กิโลเมตร โดยมูฮัมหมัดนั้นได้เคยเรียนทั้งศาสนาคริสต์และศาสนาของชาวยิว โดยมีเรื่องเล่าว่าในปีค.ศ.610 (พ.ศ.1153) "กาเบรียล (Gabriel)" ซึ่งเป็นทูตสวรรค์ ได้มาหามูฮัมหมัด และบอกกับมูฮัมหมัดว่าพระเจ้า หรือที่ชาวมุสลิมเรียกว่า "อัลลอฮ์ (Allah)" ได้ทรงเลือกมูฮัมหมัดเป็นตัวแทนและผู้ส่งสาส์นจากพระเจ้า
จากนั้น มูฮัมหมัดก็ได้นำคำสอนของพระเจ้าไปเผยแพร่ โดยคำสอนของมูฮัมหมัดนั้นมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกับคำสอนในพระคัมภีร์ และทำให้ศาสนาอิสลามเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังทำให้เยรูซาเลมเป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเป็นอันดับสามสำหรับชาวมุสลิม เป็นรองเพียงเมกกะและเมดินา
มูฮัมหมัดได้เสียชีวิตในปีค.ศ.632 (พ.ศ.1175) แต่เหล่าสาวกของมูฮัมหมัดก็ยังคงเผยแพร่คำสอนของมูฮัมหมัดต่อไป และศาสนาอิสลามก็แพร่หลายไปยังตะวันออกกลางและแอฟริกาอย่างรวดเร็ว ทำให้จำนวนชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
เมื่อราวค.ศ.637 (พ.ศ.1180) กลุ่มชาวมุสลิมได้มุ่งตรงไปยังเยรูซาเลม โดยมีผู้นำคือชายที่มีนามว่า "โอมาร์ (Omar)" และเยรูซาเลมก็ตกอยู่ใต้อำนาจของกองทัพโอมาร์
เมื่อเข้ามาในเมืองเยรูซาเลมได้แล้ว โอมาร์ก็ได้ไปยังโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะไปยังเนินพระวิหาร และพบว่าเนินพระวิหารอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม อาคารต่างๆ ก็เหลือแต่ซาก ผู้คนเอาขยะมาทิ้งยังบริเวณนี้ และผู้นำชาวคริสต์ก็ไม่อนุญาตให้ชาวยิวเข้ามาเก็บกวาดดูแลบริเวณนี้เลย
2
โอมาร์จึงสั่งให้ทำความสะอาด ก่อนจะสร้างศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา นั่นคือ "โดมแห่งศิลา (Dome of the Rock)" โดยสร้างขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นวิหารชาวยิว และสร้าง "มัสยิดอัลอักศอ (Al-Aqsa Mosque)" ในบริเวณที่ไม่ไกลจากโดมแห่งศิลา
มัสยิดอัลอักศอ (Al-Aqsa Mosque)
จากนั้น เยรูซาเลมก็รุ่งเรืองต่อมาเป็นเวลานับร้อยปี โดยมุสลิมก็อนุญาตให้ชาวยิวทำพิธีของตนได้ และยอมรับศาสนาคริสต์ และทั้งสามศาสนาก็อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองและสงบสุข
1
แต่แล้วในปีค.ศ.1009 (พ.ศ.1552) ผู้นำมุสลิมคนใหม่ก็ได้มีคำสั่งให้ทำลายโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ "สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Pope Urban II)" ผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิก เรียกร้องให้ชาวคริสต์ลุกขึ้นสู้ และชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา
เหล่าชาวคริสต์ที่ศรัทธาในศาสนาต่างเข้าร่วมในสงครามศักดิ์สิทธิ์ โดยเป้าหมายสำคัญคือยึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา ซึ่งนั่นก็รวมถึงเยรูซาเลมด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Pope Urban II)
ในปีค.ศ.1099 (พ.ศ.1642) กองทัพครูเสดจากยุโรปตะวันตกได้เข้ายึดครองเยรูซาเลม และทำการเผาทำลายศาสนสถานของชาวยิว และสังหารชาวยิวและชาวมุสลิมเป็นจำนวนมาก
1
จากนั้น กองทัพครูเสดก็ได้ทำการบูรณะโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ และได้เปลี่ยนโดมแห่งศิลาให้กลายเป็นโบสถ์ และเอากางเขนขึ้นไปตั้งเหนือปูชนียสถานของมุสลิม รวมทั้งยังนำรูปปั้นชาวคริสต์และภาพเขียนต่างๆ ไปไว้ด้านใน
2
และในเมื่อเยรูซาเลมตกอยู่ใต้อำนาจของชาวคริสต์แล้ว ชาวคริสต์จำนวนมากทั่วยุโรปก็ต้องการมาเยือนนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และก็ได้เกิดกลุ่มนักรบที่ต้องการช่วยเหลือเหล่าผู้แสวงบุญไปให้ถึงเยรูซาเลม
2
สัญลักษณ์ของนักรบกลุ่มนี้คือกากบาทสีแดงบนพื้นหลังสีขาว และเปลี่ยนมัสยิดอัลอักศอเป็นศูนย์บัญชาการ
นักรบกลุ่มนี้คือ "อัศวินเทมพลาร์ (Knights Templar)"
อัศวินเทมพลาร์ (Knights Templar)
แต่ชาวคริสต์ก็ไม่สามารถครอบครองเยรูซาเลมได้นาน โดยในปีค.ศ.1187 (พ.ศ.1730) นักรบชาวมุสลิมที่มีนามว่า "ซาลาดิน (Saladin)" ก็ได้ยึดครองเยรูซาเลม
ซาลาดินนั้นอนุญาตให้ชาวยิวกลับเข้ามาในเมืองได้อีกครั้ง หากแต่จำคุกเหล่าชาวคริสต์ แต่อนุญาตให้บางรายจ่ายเงินซื้ออิสรภาพของตนได้
ซาลาดินนั้นสั่งให้เอากางเขนของชาวคริสต์ลง และเอารูปปั้นต่างๆ ของชาวคริสต์ออกไป หากแต่ก็ไม่ได้ทำลายปูชนียสถานต่างๆ ของชาวคริสต์
1
หลังจากชัยชนะของซาลาดิน ผู้นำชาวมุสลิมจำนวนมากก็ได้ปกครองเยรูซาเลม และเมื่อถึงปีค.ศ.1270 (พ.ศ.1813) สงครามครูเสดก็ได้จบลง พร้อมๆ กับความสนใจในเยรูซาเลมของชาวคริสต์ที่เริ่มหายไป และการแสวงบุญก็ไม่ได้มากมายเท่าแต่ก่อน
ซาลาดิน (Saladin)
แต่ถึงสงครามครูเสดจะทำให้ผู้คนต้องสูญเสียเลือดเนื้อเป็นจำนวนมาก แต่ก็ทำให้เกิดการค้าระหว่างชาวคริสต์และชาวอาหรับในเยรูซาเลม โดยสินค้าต่างๆ เช่น ผ้าไหม แก้ว หรือเหล็ก ก็ถูกขนส่งไปมาระหว่างยุโรปกับเอเชีย และสินค้าเหล่านี้จำนวนมากก็ถูกส่งเข้ามาขายในตลาดเยรูซาเลม
1
ในปีค.ศ.1516 (พ.ศ.2059) เยรูซาเลมก็ตกอยู่ใต้อำนาจของ "จักรวรรดิอ็อตโตมัน (Ottoman Empire)" และก็ได้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างในเยรูซาเลม
เมื่อเวลาผ่านไป โลกก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และเป็นเวลานานหลายร้อยปีที่กลุ่มชาวยิวถูกกดขี่ โดยในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ผู้คนจำนวนมากทั่วยุโรปและเอเชียก็ได้โทษชาวยิวว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายๆ เรื่อง
ที่รัสเซียนั้น ชาวยิวถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของความไม่สงบต่างๆ ในประเทศ โดยชาวยิวจำนวนมากถูกกดขี่ สังหาร และถูกเนรเทศออกจากประเทศ
ชาวยิวจำนวนมากเดินทางไปเยรูซาเลม และก็ได้เกิดขบวนการที่เรียกว่า "ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism)"
เป้าหมายของขบวนการไซออนิสต์คือการส่งชาวยิวกลับไปยังดินแดนบ้านเกิด โดย "ทีโอดอร์ แฮร์ทเซิล (Theodor Herzl)" ผู้ก่อตั้งขบวนการไซออนิสต์ ได้ออกมากล่าวว่าชาวยิวจำเป็นต้องมีประเทศเป็นของตนเอง และเมืองหลวงนั้นก็ควรจะเป็นเยรูซาเลม
ชาวคริสต์บางคนก็สนับสนุนขบวนการไซออนิสต์ แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก
ทีโอดอร์ แฮร์ทเซิล (Theodor Herzl)
เมื่อถึงปีค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เริ่มต้นขึ้น และแพร่ไปทั่วโลก ก่อนจะจบลงในปีค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) ด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี
ในช่วงสงคราม จักรวรรดิอ็อตโตมันล่มสลาย และสหราชอาณาจักรก็เข้ามาปกครองเยรูซาเลม และอำนาจของมุสลิมในเยรูซาเลมก็ได้สิ้นสุดลง
ในปีค.ศ.1933 (พ.ศ.2476) ชาวยิวในเยอรมนีถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวยิวจำนวนมากถูกกดขี่ ทำให้ต้องหนีไปอยู่ที่อื่น โดยชาวยิวบางส่วนก็ย้ายมายังเยรูซาเลม และบางส่วนก็มาตั้งถิ่นฐานยังบริเวณรอบๆ เมือง
บริเวณรอบๆ นั้นปัจจุบันคือปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอเรเนียนและแม่น้ำจอร์แดน และชาวยิวก็เชื่อว่าดินแดนนี้เป็นของบรรพบุรุษพวกตน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกินระยะเวลานานหกปี ชาวยิวถูกสังหารไปกว่าหกล้านคน และสงครามนี้ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนีอีกครั้ง และขบวนการไซออนิสต์ก็พยายามยิ่งกว่าเดิมเพื่อจะครอบครองดินแดนนี้ ดินแดนที่เชื่อว่าเป็นบ้านเกิดพวกตน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ผู้คนในเยรูซาเลมจำนวนมากก็ได้ประท้วงอังกฤษ ไม่ต้องการจะอยู่ใต้อำนาจอังกฤษ และในที่สุด อังกฤษก็ยอมถอนตัวออกไป
ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) "องค์การสหประชาชาติ (United Nations)" องค์การที่มีตัวแทนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นสมาชิก ก็ได้เข้ามาจัดการเรื่องนี้ โดยมีการแบ่งดินแดนที่เรียกว่าปาเลสไตน์ออกเป็นสองรัฐ โดยแบ่งเป็นรัฐอาหรับและรัฐยิว โดยเยรูซาเลมจะไม่ตกเป็นของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
ดูเหมือนว่าไม่มีใครชอบทางออกนี้ ทำให้ไม่กี่วันต่อมา ความรุนแรงก็ได้เกิดขึ้น
เมื่อถึงเวลาที่อังกฤษถอนตัวออกไป ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1948 (พ.ศ.2491) อิสราเอลก็ได้ออกมาประกาศอิสรภาพ และเมืองหลวงคือเยรูซาเลม ซึ่งการกระทำของอิสราเอลทำให้ชาวอาหรับจำนวนมากไม่พอใจ
ชาวอาหรับรู้สึกว่าดินแดนของตนกำลังถูกขโมย และอาหรับก็ไม่อยู่เฉย ส่งกองทัพเข้าโจมตีทันที ซึ่งอิสราเอลก็ไม่ยอมแพ้ ส่งกองทัพโต้กลับทันที
1
หลังจากผ่านไปได้หลายเดือน ทั้งสองฝั่งก็ตกลงทำข้อตกลงกัน
เยรูซาเลมจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยเยรูซาเลมตะวันตกจะเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ส่วนเยรูซาเลมตะวันออกจะเป็นของอาหรับ
ในที่สุด ชาวยิวก็ได้ครอบครองบ้านเกิดของตน หากแต่ก็ไม่สามารถทำพิธีต่างๆ ได้ในบางส่วน จะเข้าไปใน Old City ก็ไม่ได้ มีการแบ่งแยกส่วนอย่างชัดเจน
ทางด้านอาหรับเองก็ไม่ได้พอใจ หลายคนถูกขับไล่ออกจากบ้านของตนเอง ส่วนชาวยิวอีกกว่า 700,000 คนจากทั่วโลกก็ได้ย้ายเข้ามาในอิสราเอล
แต่อิสราเอลก็ต้องถูกล้อมรอบด้วยรัฐอาหรับจำนวนมาก และความขัดแย้งระหว่างอาหรับและอิสราเอลก็ได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
4
มิถุนายน ค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) สงครามก็ได้เกิดขึ้น
"สงครามหกวัน (Six Day War)" ซึ่งเป็นสงครามระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับก็ได้ปะทุขึ้น แต่การสู้รบก็ดำเนินไปเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ โดยอิสราเอลสามารถยึดครองดินแดนในอียิปต์ จอร์แดน และซีเรีย
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนเหล่านั้นต้องหนีออกจากบ้านของตน และสงครามก็ขยายไปถึงเยรูซาเลม
1
ในช่วงสงครามหกวัน อิสราเอลก็เข้ายึดครอง Old City ซึ่งเป็นเหมือนชัยชนะสำหรับอิสราเอล หากแต่ความขัดแย้งยังไม่จบ
1
ชาวยิวมองว่าอิสราเอลคือดินแดนที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และคือบ้านของพวกตน ในขณะที่ชาวมุสลิมและชาวอาหรับจำนวนมากมองว่าปาเลสไตน์ ซึ่งรวมถึงดินแดนบางส่วนของอิสราเอล คือดินแดนของตน และชาวมุสลิมจำนวนมากก็รู้สึกว่าพวกตนถูกปฏิบัติราวกับเป็นพลเมืองชั้นสองในอิสราเอล
1
เยรูซาเลมเป็นเมืองของชาวยิวมาช้านาน ชาวยิวเป็นใหญ่ในเมืองนี้มากว่า 1,000 ปี แต่เช่นกัน ชาวมุสลิมก็เคยเป็นใหญ่ในเมืองนี้เป็นเวลานานกว่า 1,300 ปี โดยทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ต่างก็อ้างสิทธิเหนือเยรูซาเลมและดินแดนโดยรอบ และแน่นอน เมื่อมีความขัดแย้ง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการปะทะหลายครั้ง และก็ดูเหมือนเป็นการยากที่จะคลี่คลายปัญหานี้
ในทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งของ Old City ยังคงดำเนินไปอย่างไม่แตกต่างกับเมื่อหลายร้อยปีก่อน บริเวณนี้ยังไม่มีรถยนต์ อาคาร สิ่งก่อสร้างต่างๆ ยังคงดูโบราณ มีตลาดที่ขายสินค้าต่างๆ ราวกับเมื่อกว่าพันปีก่อน และก็มีนักบวช รวมถึงผู้คนที่แต่งกายในชุดโบราณเดินไปมาในบริเวณโดยรอบ
1
แต่เยรูซาเลมก็มีความทันสมัย มีผู้คนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่ มีร้านอาหารสมัยใหม่ ควบคู่ไปกับศาสนสถานแบบโบราณ เรียกได้ว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ผสมผสานระหว่างความโบราณกับความทันสมัย
1
และสำหรับ Old City ถึงแม้จะมีนามที่มีความหมายว่า "เมืองเก่า" แต่อันที่จริง Old City นั้นไม่ใช่ย่านที่เก่าที่สุดของเมือง และพระเจ้าเดวิดก็ไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ เมืองหลวงและพระราชวังของพระองค์นั้นอยู่ทางตอนใต้
ในปีค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) ก็ได้มีการค้นพบที่น่าตื่นเต้น
"ไอลัต มาซาร์ (Eilat Mazar)" นักโบราณคดีชาวอิสราเอลได้ออกมาแถลงว่าซากอาคารโบราณที่ตั้งอยู่ทางใต้ของ Old City นั้นคือพระราชวังของพระเจ้าเดวิด ก่อนที่ในเวลาต่อมา ทีมงานของมาซาร์จะค้นพบเหรียญทองคำจำนวน 36 เหรียญ รวมทั้งเหรียญขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ชาวยิว และยังพบตราประทับที่ทำมาจากดินเหนียวซึ่งมีการสลักชื่อบนตราประทับ และชื่อเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นชื่อที่อยู่ในคัมภีร์ภาษาฮีบรู และยังมีการค้นพบซากทางโบราณคดีอีกหลายอย่าง
ไอลัต มาซาร์ (Eilat Mazar)
เรียกได้ว่าเมืองแห่งนี้เป็นอีกแห่งที่น่าสนใจสำหรับคนรักประวัติศาสตร์ และเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ผมเองก็อยากจะลองไปเยือนซักครั้งเช่นกัน
โฆษณา