17 มี.ค. เวลา 13:27 • ข่าวรอบโลก

CEO ต้องลาออกเพราะสั่งรถ EV

นี่เป็นหนึ่งในบทเรียนว่า การโหนกระแสไม่ได้จบสวยเสมอไป (คล้ายๆ กับทนายบางคน) การตื่นเต้นกับอะไรใหม่ๆ ถ้าทำในจังหวะที่ถูกก็อาจจะส่งผลดีกับธุรกิจ ทำให้สามารถหาเงินทุนใหม่ได้ง่าย คนมั่นใจ และรู้สึกว่าบริษัทล้ำสมัย และกล้าที่ซื้อหุ้น
2
สำหรับบริษัท Hertz เรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้นมาก เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว Henry Ford ได้เปิดตัว Ford Model T ที่ขายดิบขายดี และมาแทนรถม้าอย่างรวดเร็ว Walter L. Jacobs เห็นโอกาสนี้ และซื้อรถ Ford Model T มา 12 คัน และเริ่มให้เช่ารถยนต์มาตั้งแต่ปี 1918 เป็นต้นมา จนในปัจจุบันมีรถในมือกว่า 400,000 คัน และมีสาขาในกว่า 160 ประเทศ
1
แต่การให้เช่ารถยนต์มากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บริษัทต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการเช่าซื้อรถระยะประมาณ 5 ปี เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ชอบใช้รถเก่า พอรถยนต์เริ่มเก่า และมีเลขไมล์เยอะ ก็ขายออกเป็นรถยนต์มือสอง ทำอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนบริษัทพอที่จะสามารถคำนวณต้นทุน และกระแสเงินสดที่ต้องใช้ได้แม่นยำระดับหนึ่ง จึงเลือกที่จะใช้การกู้เงินมาซื้อรถ มากกว่าใช้เงินของตัวเอง
1
แต่แล้ว โควิดก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ในเดือนเมษายน นักลงทุน และสถาบันการเงินเริ่มรู้แล้วว่าบริษัทจะต้องไม่มีกระแสเงินสดใหม่เข้ามา และราคารถยนต์มือสองก็ตกอย่างหนัก ทำให้มูลค่าหลักประกันไม่คุ้มกับเงินกู้แล้ว ทุกอย่างจึงหยุดชะงัก นักลงทุนไม่กล้าที่จะใส่เงินใหม่จำนวนมาก ส่วนธนาคารก็พยายามไล่เก็บเงินให้ได้มากที่สุด บริษัทจึงขาดสภาพคล่อง และประกาศล้มละลายตั้งแต่เดือนเมษายน 2020
2
หลังจากนั้นบริษัทบริหารอย่าง Knighthead Capital Management และ Certares Management ได้เข้าควบคุมบริษัท และพาบริษัทออกจากการคุ้มครองของศาลล้มละลายตามกระบวนการ Chapter 11 และได้ว่าจ้าง Stephen Scherr อดีต CFO ของ Goldman Sachs ที่ทำงานที่นั่นมานานกว่า 28 ปี ให้มารับตำแหน่ง CEO และกรรมการบริหารของบริษัทตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 เป็นต้นมา
1
หนึ่งในนโยบายหลักของเขาคือการเปลี่ยนแปลง fleet ของบริษัทให้เป็นรถ EV โดยเริ่มจากการประกาศว่าจะซื้อรถ EV จาก Tesla จำนวน 100,000 คันมาทดแทนรถเก่า โดยหวังว่าผู้ใช้จะชอบรถที่แรง เร็ว และรักสิ่งแวดล้อม และเลือกจะลองใช้มัน
แต่ในความจริง ทุกอย่างดูเหมือนจะผิดทางไปเสียหมด รถ EV มีสถิติชนท้ายรถคันอื่นสูงกว่าปกติ เพราะคนขับไม่ชินรถที่แรงขนาดนี้ แถมราคาแบตเตอรรี่ก็แพงมากๆ
1
ทำให้บริษัทต้องเสียค่าซ่อมแพงกว่าปกติ (จนในภายหลังต้องมีการล็อคอัตราความเร็ว และอัตราเร่ง เพื่อลดอัตราเกิดอุบัติเหตุ) รถขับระยะทางไกลมากไม่ได้ ลูกค้าต้องรอชาร์จไฟเวลาต้องขับทางไกล จึงหงุดหงิดมากขึ้น เทคโนโลยีรถก็เปลี่ยนเร็วมาก รถใหม่ออกมา ดีขึ้น ขับได้ระยะทางมากขึ้น แถมราคายังถูกลงเรื่อยๆ ทำให้รถมือสองตกลงอย่างเร็ว จนบริษัทต้องรับรู้ผลขาดทุนจำนวนมหาศาล
1
ไอเดียที่ดูเหมือนฉลาด และโหนกระแส กลับดูเหมือนโง่ในฉับพลัน เมื่อในปี 2023 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนมากถึง 348 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนหนึ่งจากต้นทุนในการดูแลรถที่สูงขึ้น รายได้ที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ บริษัทจึงเริ่มขายรถ EV ทิ้งมากถึง 1 ใน 3 เพื่อลดความเสี่ยง ก่อนที่เขาจะประกาศลาออกในเดือนนี้ ก่อนที่ Gil West จะเข้ามารับตำแหน่งแทนที่เขาในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
1
โฆษณา