17 มี.ค. เวลา 18:35 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
โตเกียว

"Ultraman Blazar เดอะมูฟวี่ มหันตภัยร้ายถล่มโตเกียว: ครอบครัว ชีวิต จิตวิญญาณ"

ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหารีวิวภาคเดอะมูฟวี่
อยากจะชวนมาทบทวนความทรงจำดีๆ
เกี่ยวกับซีรีส์ “Ultraman Blazar” กันครับ
.
.
.
วันนั้นยังคงจำได้ดีถึงความรู้สึกแรกที่ได้ดู
มันช่างเต็มไปด้วยรสชาติ “ความแปลกใหม่”
แบบที่ซีรีส์อุลตร้าแมนคนอื่นๆ ไม่เคยให้มาก่อน
ตั้งแต่ตัวเอกของเรื่อง ซึ่งปกติก่อนนี้
มักจะเป็นลูกทีมยังหนุ่มแน่น โสด
และยังต้องฝึกอะไรอีกมาก
แต่ “ฮิรุมะ เก็นโตะ” เป็นหัวหน้าทีม วัยกลางคน
มีพร้อมทั้งลูกมีเมียและประสบการณ์ภาคสนาม
เตรียมปฏิบัติการได้อย่างเสร็จสรรพ
ส่วนอุลตร้าแมนเบลซาร์ ยักษ์แห่งแสง
ผู้เดินทางมาจากดาว M421
ก็มาแบบฉีกกรอบสุดๆ
ตั้งแต่ดีไซน์ที่ดูแหวกแนว ทั้งลวดลายยั้ยเยี้ย
ดำ แดง น้ำเงินพาดผ่านไปมาทั่วร่าง
แรกๆ อาจดูรกตา แต่ไปมาก็เท่ไปอีกแบบดี
ทั้งหงอนสีฟ้าเรืองแสงบนหัวอันโดดเด่น
ยิ่งพอประเดิมตอนแรกก็ยิ่งเห็นความต่าง
วินาทีเมื่อแปลงร่างปรากฏกายออกสื่อ
ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย
ที่ไม่เหมือนอุลตร้าแมนปกติ
จากสีหน้า แววตา สื่อความเป็นนักล่าตัวยง
จ้องสัตว์ประหลาด “Bazanga” อย่างหิวกระหาย
คล้ายกำลังบอกว่าข้านี่แหละจะบดขยี้เจ้าให้เละ!
พอเริ่มสู้เท่านั้นก็ยิ่งเห็นได้ถึงความต่าง
ทั้งลีลา ท่าทาง ตั้งแต่การร่ายรำก่อนสู้
ที่ว่ากันว่ามาจากการอธิษฐานเพื่อชัยชนะ
อารมณ์แบบเดียวกับนักมวยไหว้ครูก่อนชก
ก่อนจะคำรามด้วยเสียง “ฮ่วย!”
อันเป็นเอกลักษณ์และภาพจำ
ตอกย้ำด้วยท่ากระทืบเท้าขู่
ดูเกรี้ยวกราดและดิบเถื่อนสุดๆ
พร้อมระเบิดพลัง
สาดกระบวนท่าไม่หยุด
ทั้งเพลงหมัด เข่า ศอกเข่า
ดูคล้ายแม่ไม้มวยไทย
พอสู้ไปสักพักก็หลบไปปีนตึก
ให้ความรู้สึกเหมือนมนุษย์วานร
ฟีลอุลตร้าทาซานที่ลงมาล่าเหยื่อ
บุกรุกไล่ ใส่สุด ลุยไปจนอีกฝ่ายจนตรอก
แล้วฉีกกระชากแขนอันแข็งแกร่งออกมาขยี้เล่น
ปิดท้ายด้วยไม้ตาย “Spiral Burrade (หอกแห่งแสง)”
อันโดดเด่นเป็นประกายยาวเหมือนดาวหาง
ขว้างไปทะลวงร่างปลิดชีพศัตรูตายคาที่
หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นถึง
สไตล์การต่อสู้ที่ชัดขึ้นของเจ้าตัว
ว่าไม่ต้องมีลีลาชั้นเชิงหรือแผนอะไรมากมาย
แค่สู้ไปตามสัญชาตญาณนักล่าพอ
อ้อ! ยังมีท่าปิดท้ายก่อนบินขึ้นฟ้า
ที่เบลซาร์มักจะย่อตัวประจุพลัง
จนมีแสงประกายวิบวับวิ่งไปตาม
เส้นสีน้ำเงินแดงในตัว แล้วพุ่งไปหนึ่งสเต็ป
ขึ้นไปบนฟ้าหน่อยๆ ก่อนจะพุ่งทะยานไปจนสุด
ตามด้วยพัฒนาการต่างๆ ระหว่างทาง
ที่ส่งผ่านตัวละครและเรื่องราว
ทั้งสายสัมพันธ์ของโฮสต์-อุลตร้าแมน
ซึ่งแม้จะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเบลซาร์ไม่พูด
แต่ก็อาศัย “ภาษาใจ” สื่อความรู้สึกกันมาตลอด
เข้าใจกันบ้าง ไม่เข้าใจก็บ่อย ก่อนจะค่อยๆ เรียนรู้
ตัวตนและจิตวิญญาณของกันและกันไปจนสุด
เก็นโตะได้พลังความแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยวจากเบลซาร์
ส่วนเบลซาร์ก็ได้คุณธรรม ความรัก ความห่วงใย
และโอบอ้อมอารีจากมนุษย์อย่างเขาเช่นกัน
ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันทุกวัน
จาก 2 จนกลายเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง
(ฉากตอนจบซีรีส์
ที่เบลซาร์พูดครั้งแรก
ว่า “We will go”
พวกเราจะไปด้วยกัน
ยังตราตรึงมาถึงตอนนี้)
ทั้งนิยามความหมายแห่ง “ครอบครัว”
ที่ไม่ได้ขีดเส้นแค่เลือดเนื้อเชื้อไขอย่างเดียว
แต่รวมถึงทีมงานผู้ร่วมทุกข์สุขทุกสมรภูมิ
ทุกคนล้วนมีความเก่งและแกร่งในแบบของตัวเอง
เริ่มจากรองหัวหน้า “เทรุอากิ”
ผู้เปรียบดั่งลมใต้ปีกของเก็นโตะ
คอยสังเกตความเป็นไปต่างๆ
ช่วยดูแลทุกอย่างแบบใกล้ชิด
และบัญชาการอยู่เก้าอี้หลัง
ยามขับเคลื่อน “Earth Garon”
ทัพหน้าอย่าง “อันริ” ที่คอยทุกครั้ง
ยามพาเอิร์ธคุงออกศึก
ก็ต้องเตรียมใจนึก
แล้วว่ากำลังเอาชีวิตไปเสี่ยง
เป็นคอยแบกจังหวะเดิมพันสำคัญ
หลายครั้งในภารกิจ
ทัพหลังอย่าง “ยาสุโนบุ”
ผู้เปรียบดั่งกระดูกสันหลังของทีม
ที่คอยดูแลอาวุธ ยุทธโทปกรณ์
และซอฟต์แวร์ต่างๆ ค่อยเตรียมการ
ซ่อมแซมเอิร์ธคุงให้พร้อมรบอยู่ตลอด
เมื่อถึงเวลาออกรบก็ใส่เต็มไม่ยั้ง
อดทนจนเป็นส่วนหนึ่งไปกับเพื่อนหุ่นยนต์ได้
คอยทุ่มเทให้กับงานแบบเกินร้อยเสมอ
และ “เอมิ” สาวสวยผมสั้นมาดเฉี่ยว
หน่วยข่าวกรองประจำทีมที่คอย
รับภารกิจสายลับ แทรกซึมไปตาม
หน่วยงานและพื้นที่ต่างๆ
มีความฉลาด แพรวพราว ช่างสังเกต
ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ยากเท่าไหร่
เธอจะหาทางพลิกแพลงมาเพื่อ
ให้ได้ข้อมูลที่ต้องการในที่สุด
แถมเมื่อถึงคราวต้องบู๊เอง
ก็เท่และใจสู้ไม่เบาเลยล่ะ
เรียกได้ว่าทุกคนล้วนมีบทบาทสำคัญ
ในการขับเคลื่อนทีมไปข้างหน้าทุกมิติ
และยังคอยดูแลใส่ใจกันอยู่ตลอด
เสมือนเป็นครอบครัวในเครื่องแบบ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบสุดในซีรีส์นี้
อาจจะเรื่องแรกที่เห็นในบรรดา
ซีรีส์อุลตร้าแมนเลยด้วยซ้ำ
เพราะถ้าไม่นับเก็นโตะที่ต้องเด่นอยู่แล้ว
โดยรวมคือเฉลี่ยแอร์ไทม์ทั้งทีมได้ดีมากๆ
บางตอนให้คนนั้น บางตอนเน้นคนนี้
ได้เห็นความดีและด้านที่มืดมน
ทำให้เรารู้สึกว่าทั้ง 5 คน+1 เอไอ นี่แหละ
คือ “ตัวเอก” ของเรื่องจริงๆ
จากเดิมเรามักได้เห็นอุลตร้าแมน
ออกมาสู้หน่อยๆ แล้วชนะจบไป
แต่นี่ไม่ใช่ ทุกคนต่างร่วมกันสู้มากๆ
หลายฉากหลายตอนที่เราต่างได้เห็น
Blazar ร่วมแรงกับ Earth Garon
ซึ่งก็คือเก็นโตะที่รวมพลัง
กับพรรคพวกในอีกรูปแบบ
จนฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้สำเร็จ
(จะเห็นได้อีกครับว่าเบลซาร์เองก็ปรับตัว
จากที่เคยลุยคนเดียวมาตลอดจนสามารถ
ทำงานเป็นทีมได้อย่างไร้รอยต่อ
หลายฉากเขาก็ยอมให้เอิร์ธคุงเด่น
ยอมเป็นฝ่ายตามเพื่อปิดจ๊อบให้ได้เร็วที่สุด
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งแง่มุมการเติบโตที่ซีรีส์คอยบอก)
นอกจากนั้นคือการเสียดสี
การเมืองการปกครองในญี่ปุ่น
ที่ทำงานกันด้วยสายบัญชาการ
หลายขั้นหลายตอนและมีความราชการอยู่
ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดู Shin Ultraman
แต่เพิ่มเติมมาด้วยการขยี้ภาพของ
ผู้มีตำแหน่งสูงแล้วแก่ไม่เป็น
เห็นแต่การใช้อำนาจของตัวเอง
ซึ่งนับเป็นอุปสรรคภายในที่พวกเก็นโตะ
ต้องพบเจอและหาทางแก้กันปวดหัว
ตั้งแต่ต้นจนจบ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์
และหัวใจสำคัญของซีรีส์เบลซาร์
ที่แม้จะเป็นจักรวาลเอกเทศ
ไม่มีอุลตร้าแมนคนอื่นมาแจมเป็นสีสัน
ก็ไม่รู้สึกเลยว่ามันขาดอะไรไป
ทุกอย่างครบ จบ สมบูรณ์ในตัวเอง
ทำให้ทุกวันเสาร์เต็มไปด้วยความหมาย
รอดูแจ้งเตือนจากสึบุราย่า
พร้อมงดโซเชียลหนีสปอยล์
จนมาถึงเรื่องราวต่อมาในเดอะมูฟวี่
“มหันตภัยเดือดถล่มโตเกียว”
เรื่องย่อคือเหล่าสัตว์ประหลาด
ยังคงรุกรานโลกอย่างไม่หยุดหย่อน
จนหน่วย SKaRD ต้องออกมาปราบ
ก่อนจะสืบหาต้นตอไปเจอกับ “Necromass”
บริษัทด้านเคมีที่กำลังทำวิจัยซากสัตว์ประหลาด
เพื่อดึงเอาสารบางอย่างมาสกัดใส่มนุษย์ด้วยกัน
โดย “ดร.มาบุเสะ” CEO และนักเคมีชื่อดัง
มองว่านี่คือกุญแจสำคัญสู่วงการแพทย์
และความเป็นอมตะที่โรคใดๆ ก็ไม่อาจทำร้าย
แต่แล้วภัยจากเอเลี่ยน “ดามุโน่” ก็เกิดขึ้น
พร้อมขู่ทำลายโลกให้สิ้นถ้าไม่หยุดพัฒนาสารนี้
พวกเก็นโตะจึงต้องร่วมแรงใจกัน
เพื่อปกป้องโลกให้ได้อีกครั้ง
นอกเหนือจากการดำเนินเรื่องที่เร็ว กระชับ
สลับกับฉากบู๊เดือดๆ เต็มจอใหญ่แล้ว
ก็ยังมีแก่นเรื่องบางอย่างที่แตกต่าง
และขยายออกมาจากซีรีส์ให้เห็นอยู่
จุดนี้อยากชวนกันลองอ่านดู
ว่านี่คือสิ่งที่แฟนๆ อุลตร้าแมนทุกท่านจะได้
เอาล่ะหน่วย SKaRD เข้าประจำที่ เตรียมพร้อม
ออกไปสัมผัสกับเรื่องราวให้มั่น
สัญญาว่าทุกคนต้องปลอดภัยกลับมานะ (Wilco!)
ดำเนินการปล่อย Earth Garon เข้าพื้นที่
เอิร์ธคุง! ช่วยปรับโหมดเข้าสู่สภาพพร้อมอ่านสุดๆ
(ไม่มีสปอยล์นะครับ เป็นการเล่าภาพรวม)
.
.
.
บอกเลยว่าหนังสะท้อนแง่มุมต่างๆ ได้ดีมากๆ
ทั้งการเล่นกับอะไรที่เราไม่รู้ชัด
โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมใหม่
ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์มากมายหลายอย่าง
จนไม่อาจประเมินค่าได้
หากปราศจากการทดลองที่ทำถึง
มีการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าปลอดภัยแน่
ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเดิมพันเสี่ยงดวง
โดยมีชีวิตนับล้านบนโลกเป็นหนูทดลอง
และบางที "สัตว์ประหลาด" ที่แท้จริง
อาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตผู้มีรูปร่างหน้าตาต่างจากเรา
หากแต่เป็นบางอย่างที่ป่าเถื่อน ดุร้าย
ซับซ้อนมากกว่านั้นหลายช่วงตัว
ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละที่สร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมา
พร้อมชวนตั้งคำถามว่าความหมายที่แท้จริง
ของ "ชีวิต" และ "จิตวิญญาณ" คืออะไร?
แบบไหนถึงจะเรียกได้ว่า
ชีวิตที่สมบูรณ์ในความเป็นตัวเอง?
นอกจากนี้ยังต่อยอดปมครอบครัว
ให้มีความเหมือนและต่างออกไปจากในซีรีส์
ชนิดที่ผมแอบน้ำตาซึมตาม
สื่อให้เห็นว่าสิ่งสำคัญมากในชีวิต
บางทีนั้นก็อยู่ใกล้กว่าที่คิด
แต่กลับไกลออกไปเพราะเราปล่อยให้
อะไรหลายอย่างมาบดบัง
เรียกได้ว่าใครเคยมีประสบการณ์ร่วม
เกี่ยวกับคนทางบ้าน
มาดูแล้วอาจซึ้งกลับไปยังได้เลย
และแน่นอนว่าหนังทุกเรื่อง
ย่อมมีทั้งจุดเด่นและแผล
แม้โดยรวมจะดีเลยล่ะ
แต่ก็แอบรู้สึกว่า “ได้อีกน่า”
ขออีกหน่อย ถ้าเพิ่มตรงนี้ ขยี้ตรงนั้น
เราคงอินตามได้มากกว่านี้แน่ๆ
อย่างไรก็ตามถ้านับว่า
มาเสพเนื้อเรื่องเพิ่ม
เสริมมุมมองจากซีรีส์ให้มากขึ้น
เป็นการเก็บให้ครบสมบูรณ์
ก็แนะนำให้มาดูครับ
ไหนๆ เราก็ตามกันมาตลอดแล้ว
เพราะก่อนนี้ผมก็เสียดายที่ไม่ได้ดูหนัง
ของ Trigger / Decker ทั้งที่ดูซีรีส์มาจนจบ
มาถึง Blazar เดอะมูฟวี่คุณอาจค้นพบ
ความสนุกและแง่มุมหลายอย่าง
กลับไปเต็มเติมหัวใจได้อีก
แค่วางแว่นมุมของผู้ใหญ่ลง
แล้วสวมวิญญาณเด็กดูไปด้วย
ก็จะยิ่งเต็มอิ่มมากขึ้น
อีกอย่างที่ชอบคือสำหรับใครที่กังวลว่า
จะจำเรื่องราวจากในซีรีส์ไม่ได้
ก่อนหนังเริ่มเขาจะมีการเกริ่น
ทวนความจำให้นานประมาณหนึ่งเลยครับ
ใส่ใจมากๆ ช่วยให้ปะติดปะต่อได้ง่ายขึ้น
ขอบคุณทาง DEXclub มากๆ ครับ
ที่ชวนมารอบสื่อและให้ร่วมกิจกรรมดีๆ
อบอุ่นหัวใจแบบนี้ อยากจะเก็บไว้เล่า
ในบทความครั้งหน้าเลย,,,
🎥 เข้าฉาย 21 มี.ค. นี้ในโรงภาพยนตร์!
โฆษณา