19 มี.ค. เวลา 06:47 • กีฬา

นักคิด vs นักบู๊ : ภาพสะท้อนการดวลกันครั้งสุดท้ายของ เป๊ป และ คล็อปป์ ในพรีเมียร์ลีก | Main Stand

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้พาทีมลงดวลกันในเกมพรีเมียร์ลีกครั้งสุดท้าย ในฐานะกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ไปเรียบร้อยแล้ว
เกมที่เป็นปัจฉิมบทของ “ศัตรูที่รักระดับตำนาน” ได้ถูกเขียนขึ้นอย่างเร้าใจและจบลงอย่างสวยงามที่สุด สะท้อนภาพอะไรให้พวกเราได้เห็นว่าพวกเขาได้สร้างอะไรไว้บ้างในยุคที่เราเรียกกันว่า “ยุคของโมเดิร์นฟุตบอล”
1 นักคิดใจใหญ่ และ 1 นักบู๊ขวัญใจมหาชน … นี่คือเรื่องราวของพวกเขานับตั้งแต่การเจอกันครั้งแรก จนถึงนัดสุดท้าย
ติดตามที่ Main Stand
จะสร้างทีมต้องใช้เวลา
ในวันที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามารับงานที ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาต่างเป็นโค้ชระดับแถวหน้าระดับเกรด A อยู่แล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าสโมสรเองก็คาดหวังว่า ในการจ่ายค่าจ้างก้อนโตสำหรับทั้ง 2 ทีม ทั้งคู่จะสามารถสร้างผลงานที่ดีได้อย่างรวดเร็ว
คล็อปป์ เคยเป็นผู้สร้าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ให้เกรียงไกรเหนือคู่แข่งที่มีทรัพยากรในทีมมากกว่าอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ด้วยสไตล์ที่เป็นลายเซ็นของเขาอย่าง เกเก้นเพรสซิ่ง
ขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สร้างชื่อมากับการต่อบอลที่รวดเร็ว แม่นยำ และหวังผลได้มากที่สุดที่โลกเคยมี ไม่ว่าจะกับ บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น ภายใต้ชื่อระบบการเล่นที่เป็นลายเซ็นของเขาอย่าง ติกิตาก้า
1
แม้จะมีระบบที่เป็นของชอบ ของถนัด อย่างไรก็ตาม การจะสร้างทีมฟุตบอลทีมหนึ่งขึ้นมาใหม่ด้วยมือของตัวเอง ถือเป็นงานที่โหดหิน และไม่มีทางลัดแต่อย่างใด หากคุณย้อนกลับไปในวันที เป๊ป และ คล็อปป์ คุมทีมของเขานัดแรกในพรีเมียร์ลีก คุณจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย และพบว่าแม้พวกเขาจะพกคัมภีร์ยอดกุนซือมากับตัว แต่พวกเขาก็ต้องใช้เวลาลองผิดลองถูก และเคยมีช่วงเวลาที่หลายคนตั้งคำถามกับวิธีการของพวกเขา
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดนนักวิจารณ์ตำหนิว่าการไม่ยอมมูฟออนจากสไตล์การต่อบอล ทำให้เขาและ แมนฯ ซิตี้ ต้องเจอสิ่งที่เรียกว่า “กำแพงพรีเมียร์ลีก” นั่นคือการเล่นหนัก เล่นเร็ว เวลาเจอทีมเล็กก็ตั้งรับ แล้ววัดกันแบบจังหวะต่อจังหวะผ่านลูกเซ็ตพีซหรือการโยนยาว
วิธีการแบบนี้ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ที่ค่อย ๆ ต่อบอลตามสไตล์เป๊ป ถึงกับไปไม่เป็นในปีแรก พวกเขาตายกับการโดนสวนกลับและลูกตั้งเตะ ชนิดที่ว่าตอนนี้แม้แต่กุนซือสมองเพชรอย่างเป๊ป ก็แก้ไม่ได้ จนถึงขั้นที่โดนแฟน ๆ บ้านเราเรียกชื่อว่า "โล้นจิบน้ำ" จากอากัปกิริยาที่ปลงตก ทำอะไรไม่ได้มากกว่าการมองไปที่ทีมกำลังเสียประตูในสนาม และจิบน้ำยอมรับกับประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอ
นับตั้งแต่คุม บาร์เซโลน่า เป็นต้นมา เป๊ป ไม่เคยจบอันดับในลีกมากกว่าอันดับ 2 เลยไม่ว่าจะคุมทีมไหน และเขาต้องมีแชมป์ติดไม้ติดมือตลอด แต่ฤดูกาล 2016/17 ซีซั่นแรกของเป๊ป กับ แมนฯ ซิตี้ ล้มเหลวท้้งผลลัพธ์และวิธีการ พวกเขาไมได้แชมป์อะไรเลยแม้แต่รายการเดียว และแพ้มากถึง 12 เกมจากทุกรายการ
ขณะที่ คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล เองก็ต้องเรียกว่าเป็นการสร้างทีมใหม่ทั้งหมด เพราะ เกเก้นเพรสซิ่ง ต้องการทักษะและพละกำลังที่สูงมาก เขาพยายามทำงานภายใต้ข้อจำกัดที่มี และผลัดใบนักเตะทีละนิด
หากย้อนดู 11 ตัวจริงจากนัดแรกที่เขาคุมทีม ในเกมพรีเมียร์ลีกที่เสมอกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ในฤดูกาล 2015/16 ณ ตอนนี้ ไม่มีใครอยู่กับทีมสักคน ส่วนใหญ่เป็นเพราะ คล็อปป์ โละทิ้ง มากกว่าการขายโดยจำยอม อาทิ ซิมง มินโญเล่ต์, มามาดู ซาโด้, มาร์ติน สเคอร์เทล, ลูคัส เลวา, อัลแบร์โต้ โมเรโน่ และคนอื่น ๆ อีกมากมาย
เกเก้นเพรสซิ่ง อาจจะนำมาซึ่งความแปลกใหม่ให้แฟน แต่ตอนนั้น คล็อปป์ เองก็หนีไม่พ้นเสียงวิจารณ์ ในช่วงแรก ๆ ของเขากับ ลิเวอร์พูล คล็อปป์ ถูกวิจารณ์ว่าระบบที่วิ่งมากเกินไปของเขา นำมาซึ่งสภาพร่างกายที่ถดถอยของนักเตะ และเมื่อถึงเวลาที่ร่างกายสะสมความล้าถึงขีดสุด ปัญหาก็ส่งผล ลิเวอร์พูล เสียประตูง่าย และไม่มีความสำเร็จเลยใน 3 ปีแรก
มองจากจุดเริ่มต้น ทั้ง เป็ป และ คล็อปป์ ต่างก็ใช้เวลาในการสร้างทีมของตัวเองทั้งนั้น เป๊ป อาจจะสร้างไวกว่าเพราะ แมนฯ ซิตี้ มีเงินให้และพร้อมตอบสนองคำขอจากผู้จัดการทีมมากกว่า แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า สิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาในฤดูกาลที่ล้มเหลว
คือการยึดมั่นในแนวทางที่ชัดเจน การที่เป็นคนบ้าคลั่งฟุตบอล คุยเรื่องแท็คติกได้เป็นวัน หลับตาฝันก็ยังนึกภาพเป็นทีมของตัวเองสำหรับทั้งคู่ คือคุณสมบัติยืนยันว่าพวกเขาเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำงานมาก ๆ และต่อให้ล้มเหลวในปีแรก ๆ แต่ก็ยังส่งสัญญาณให้แฟนบอล นักเตะ หรือแม้กระทั่งผู้บริหารรู้ว่า ในอนาคตจะต้องดีกว่าที่เป็นอยู่แน่
ซึ่งเมื่อพวกเขาได้รับเวลาที่ต้องการ ได้รับการสนับสนุนจากบอร์ดบริหาร พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ซื้อใจแฟนบอลของตัวเองได้สำเร็จ ... จากนั้นตำราการเล่นที่พวกเขาพกมา ก็ค่อย ๆ ถูกแก้ไข พัฒนาให้ล้ำหน้ายิ่งกว่าเวอร์ชั่นเดิม เกเก้นเพรสซิ่ง ของ คล็อปป์ ยังคงความเข้มข้นไว้เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือความเด็ดขาด เหี้ยมเกรียม และการมีศิลปะแห่งการเล่นกับจังหวะ ช้า-เร็ว
ติกิตาก้า ของเป๊ป ถูกแก้ไขใหม่ให้เหมาะสมกับนักเตะที่มี จากที่เน้นการต่อบอลสั้น ๆ อย่างเดียว เป๊ป ก็สร้างทีมที่อาวุธเกมรุกครบมือ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะกลาง บุกริมเส้นแล้วคัทแบ็ค การเล่นแบบ "Third Man Run" (ใช้ตัวสอดแทรกขึ้นมาทำประตู) ที่พวกเขาถือว่าเป็นต้นตำรับของฟุตบอลยุคนี้ไปแล้ว
จากวันแรกจนถึงตอนนี้ พวกเขาได้แสดงให้กุนซือทุกคนเห็นว่า เวลาเป็นสิ่งสำคัญในฟุตบอลยุคใหม่ แม้เวลาของกุนซือยุคนี้จะไม่มากนัก แต่หน้าที่ของโค้ชคือการแสดงผลงานออกมาให้ทุกคนได้รู้ว่าพวกเขาควรได้รับโอกาสและเวลานั้นแค่ไหนต่างหาก ... เมื่อมีเวลาได้สร้างรากฐาน พวกเขาก็ต่อยอดทีมของตัวเอง ด้วยวิธีการและสไตล์ที่ไม่มีทีมไหนสามารถทำซ้ำได้
โลกของ เป๊ป และ คล็อปป์
การมาเจอกันของทั้งคู่ในพรีเมียร์ลีกยังทำให้โลกได้รู้จักกุนซือของสไตล์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คือสุดยอดของนักคิด ที่มีนำสิ่งใหม่ ๆ มาสู่โลกฟุตบอลเสมอ โดยจะโชว์การแสดงผ่าน แมนฯ ซิตี้ ของพวกเขา ซึ่งทำให้โลกได้เห็นว่าในวันที่ เป๊ป มีอาวุธครบมือ ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เขาสามารถสร้างความมหัศจรรย์อะไรด้บ้าง
เป๊ป เรียกร้องจากลูกทีมของเขาถึงขีดสุด นักเตะหลายคนอยู่กับเขาไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน หลายคนก็เป็นคนใหม่ผ่านวิธีการสอนของเขา ภาพของการตะโกนใส่หน้านักเตะ หรือล็อกคอลูกทีมหลังจากที่ทีมเพิ่งคว้าชัยชนะแสดงให้เห็นว่า ภายในหัวสมองของเขาวางภาพไว้เวอร์วังอลังการแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่นักเตะเพิ่งลงไปเล่นและเอาชนะคู่แข่งได้ 3-4 หรือ 5 ลูก เขาก็ยังมองว่ามีเรื่องต้องแก้ไขอยู่ดี
โลกของ เป๊ป เป็นโลกของ เพอร์เฟ็คชั่นนิสต์ ซึ่งมันก็ควรเป็นแบบนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านคาแร็คเตอร์ของเขาเป็นอย่างดี ว่ากันว่าคนอย่างเขาไม่สามารถหยุดคิดหรือคุยเรื่องฟุตบอลกับคนรอบข้างได้เกิน 2 นาที นั่นคือความสุดยอดที่ทำให้เขาเป็นกุนซือระดับเบอร์ต้น ๆ ของโลกในแง่ของความสำเร็จระดับสูงในเวลานี้
ทุกครั้งที่แผนการเล่นของเขาโดนจับทางได้ หรือเขามองว่ามันเอาท์และมีสิ่งใหม่ที่ดีกว่า เป๊ป จะนำเสนอให้โลกได้เห็น แผนฟอลส์ไนน์, อินเวิร์ตฟูลแบ็ก, กองกลางหมายเลข 8.5 มาจนถึงกับ แมนฯ ซิตี้ ชุดปัจจุบันคือการเล่นแบบไร้เซ็นเตอร์แบ็ก ทุกอย่างถูกคิดค้นโดยเขาคนนี้ เขาค่อย ๆ ไขน็อตทีละตัว ซ่อมที่ละจุด และสุดท้ายภาพในสมอง ก็ถูกถอดออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมในท้ายที่สุด
ขณะที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นคือนักบู๊ตัวจริง คาแร็คเตอร์ของคล็อปป์ อย่างที่ทุกคนต่างเห็นและเคยได้ยินเรื่องราวของเขามาตลอดอาชีพการทำงาน ผู้ชายที่สนุกกับการแก้ไขข้อจำกัด ใส่แพชชั่นของตัวเองในระดับมหาศาลส่งต่อไปยังลูกทีมและแฟนบอลได้ คาแร็คเตอร์ที่ขอแค่ยืนข้างสนาม นักเตะก็พร้อมจะวิ่งให้ และแฟนก็พร้อมส่งเสียงเชียร์จนนาทีสุดท้าย
คล็อปป์ ผลัดใบลิเวอร์พูลจาก 0 เลยก็ว่าได้กว่าจะมาถึงจุดนี้ นักเตะที่เขาใช้งานทุกคนเรื่องเทคนิค ชื่อชั้น หรือคลาส อาจจะไม่ใช่น้กตะระดับแถวหน้าของโลก แต่เมื่อ คล็อปป์ จับมาใส่ระบบของเขาแล้ว ทุกคนเหมือนเป็นฟันเฟืองที่ช่วยทดกัน ทำใหฟันเฟืองตัวอื่น ๆ ทำงานได้อย่างแข็งขันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างที่คล็อปป์ สามารถทำได้ตอนที่เขาทำทีม ลิเวอร์พูล คือ การเป็นทีมที่ลงเล่นด้วยความดุดัน กดดันใส่คู่แข่งจากทุกทิศทางแบบไม่ได้หายใจ มันเป็นแนวทางที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลทุกคนเชื่อว่าเมื่อมี คล็อปป์ อยู่ข้างสนาม และทีมกำลังเล่นในแบบที่คล็อปป์สั่งไม่ว่าเร็วหรือช้าพวกเขาจะต้องทำประตูและคว้าชัยชนะได้แน่
ตัวอย่างล่าสุดคือเกมสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันในพรีเมียร์ลีก กับผลเสมอ 1-1 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2024 ในช่วงนาทีที่ 80 แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป บุกใส่ ลิเวอร์พูล แบบเจียนอยู่เจียนไป แต่พอถึงช่วงทดเวลาและผู้ช่วยผู้ตัดสินชูป้ายทดเวลา 8 นาที เสียงเฮในแอนฟิลด์ก็ดังสนั่นโดยไม่ได้นัดหมาย ราวกับพวกเขารู้ว่าช่วงเวลาของตัวเองมาถึงเเล้ว ... ความเชื่อมั่นระดับนี้คือสิ่งที่ยืนยันความสุดยอดของ คล็อปป์ ได้เป็นอย่างดี
แมตช์สุดท้ายในความทรงจำ
ทั้ง คล็อปป์ และ เป๊ป ต่างก็สร้างทีมตามวิถีของตัวเอง ไม่สำคัญว่าคุณจะมองว่าใครเก่งกว่าใคร คุณอาจจะมองว่า เป๊ป มีเงินให้ใช้มากกว่า หรือคุณอาจจะมองว่า คล็อปป์ คว้าแชมป์ไม่มากเท่า เป๊ป ... นั่นไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาได้ฝากมรดกแห่งความทรงจำที่จะเป็นตำนานของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไปอีกนาน ผ่านการห้ำหั่นดวลกันของทั้งคู่
ในการดวลกันที่พรีเมียร์ลีกสุดท้ายที่แอนฟิลด์ เป๊ป และ คล็อปป์ แสดงลายเซ็นของตัวเองออกมา แม้จะเป็นเกมที่กดดัน มีเดิมพันสูง แต่พวกเขาไม่เปลี่ยนสไตล์ เอาความเป็นตัวเองเข้าแลก สู้กันแบบหมัดต่อหมัด นั่นทำให้เราได้เห็นเกมที่ยอดเยี่ยม เปี่ยมไปด้วยพลัง สมาธิ วินัย และการคุณภาพในทั่วทุกพื้นที่ของสนาม
นักคิดอย่าง เป๊ป นำลูกทีมลงเล่นในสังเวียนที่เขาบอกว่าชนะยากที่สุดอย่างแอนฟิลด์ ด้วยคาแร็คเตอร์ของผู้ชนะ สมราคา 3 แชมป์เมื่อฤดูกาล 2022/23 พวกเขาเป็นไม่กี่ทีมบนโลกนี้ที่เล่นในแอนฟิลด์ แล้วสร้างความลำบากให้ ลิเวอร์พูล ได้มากขนาดนี้ ท่ามเกลางเสียงเชียร์ของฝูงชน อาจจะมีช่วงเวลาที่เจียนอยู่เจียนไปบ้าง แต่สุดท้าย แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป ก็ไม่เสียท่าให้ใครง่าย ๆ
นักคิดอย่างเขามีเซอร์ไพรส์ให้โลกได้เห็นตลอด แม้กระทั่งเกมนี้ การถอด เควิน เดอ บรอยน์ ออก ในช่วงที่ทีมโดนกดจนเล่นไม่ได้ และใส่ มาเตโอ โควาซิช ลงมา กลับกลายเป็นช่วงจังหวะที่เห็นความต่าง ที่ ซิตี้ เอาบอลกลับมาครองได้ตามสไตล์ของตัวเองจนได้
ส่วนนักบู๊อย่าง คล็อปป์ แสดงผลงานที่สุดยอดออกมาในเกมนี้ ด้วยขุมกำลังที่พวกเขาจัดมา มีตัวสำรองและขาดตัวหลักมากมาย แต่อย่างที่ทุกคนรู้กัน ไม่ว่าลิเวอร์พูลจะจัดทีมชุดไหนลงสนาม จะเอาเด็ก U-18, U-23 หรือขนตัวสำรองลงยกชุด สิ่งที่การันตีได้เลยคือพวกเขา "เอาแน่"
ซึ่งในเกมดังกล่าวก็เป็นตามนั้น ทัศนคติ ระเบียบวินัย ความมุ่งมั่นทุ่มเท ฉายแสงออกมาแบบจัดเต็ม เรียกได้ว่าเล่นเรียกเสียงเชียร์ได้ตลอดทั้งเกม ... แม้กระทั่ง "ทีม 3 แชมป์" ก็โดนกดหัวอยู่ในแดน แบบที่ไม่เคยมีทีมไหนทำกับพวกเขาได้ ... มันชัดเจนว่า คล็อปป์ คือกุนซือที่ทำงานภายใต้ทรัพยากรที่มีได้ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ณ ปัจจุบัน
น่าเสียดายที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ดวลกันในพรีเมียร์ลีกในฐานะกุนซือของ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ... ตลอดช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา แฟนบอลพรีเมียร์ลีกได้กำไรมากมายจากการดูการดวลกันของทั้งคู่ ผ่านแต่ละยุคแต่ละสมัย
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พวกเขาเริ่มสร้างทีมเราก็จะได้เห็นวิธีการที่พวกเขาถ่ายทอดให้ลูกทีมจนเล่นได้ตามที่ตัวเองจินตนาการไว้
ไม่ว่าจะในตอนที่พวกเขาพาทีมขึ้นไปอยู่บนจุดที่เรียกความสำเร็จ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นวิธีการเล่นที่ยกระดับทีมขึ้นมาด้วยการเติมจิตวิญญาณแห่งผู้ชนะ และได้เห็นว่า "ฟุตบอลที่ดี" ต้องมีความครบเครื่องขนาดไหนในโลกยุคปัจจุบัน
และท้ายที่สุดในวันที่พวกเขาอยู่ในจุดสูงสุดที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้ว เรายังได้เห็นภาพสะท้อนของยุคสมัยอันยอดเยี่ยมในรูปแบบของศัตรูที่รัก คู่รักคู่แค้นที่สร้างสีสันให้กับโลกฟุตบอลมากที่สุดในยุคนี้ และสิ่งนี้จะถูกกล่าวขานถึงไปอีกนาน
แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถเป็นต้นแบบของสโมสรไหนก็ได้ และกุนซือคนไหนก็ได้ในโลกใบนี้
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
โฆษณา