22 มี.ค. เวลา 11:00 • ประวัติศาสตร์

ทำไมเราเรียกสับปะรดว่า Pineapple ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเหมือนกันกับแอปเปิ้ล?

ถ้าถามว่าสับปะรดในภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร เชื่อได้เลยทุกคนจะตอบพร้อมกันว่า "Pineapple"
2
แต่ถ้าลองถามคำถามนี้ กับคนที่ใช้ภาษาอื่นอย่างฝรั่งเศส โปรตุเกส หรืออิตาลี คำตอบที่ได้ เราจะพบว่ามันมีความแปลกอยู่สองอย่าง
3
อย่างแรกคือ เขาเรียกสับปะรดกันว่า "ananas" (อ่านว่า อะนานา มีเสียงเอสตามหลัง)
2
และอย่างที่สองคือ ที่บอกว่า 'เขาเรียก' นี่คือไม่ใช่แค่ประเทศเดียว แต่ทุกประเทศที่กล่าวมาทั้งหมด เรียกสับปะรดเหมือนกัน ว่า ananas
4
คำว่าสับปะรดในภาษาต่างๆ
ฝรั่งเศสเรียก ananas, โปรตุเกสเรียก ananás, อิตาลีก็เรียก ananas
ทุกประเทศใช้คำคล้ายๆ กันคือ ananas มีแต่อังกฤษประเทศเดียว ที่ไปดึงเอาคำว่า Pine มารวมกับ apple (แอปเปิ้ล) กลายเป็น Pineapple แล้วบอกว่านี่คือ สับปะรด
3
แต่แอปเปิ้ลกับสับปะรด แทบจะไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
1
อันหนึ่งเป็นไม้ยืนต้น อีกอันเป็นไม้ล้มลุก
อันหนึ่งเป็นผลเดี่ยว อีกอันเป็นผลรวม
อันหนึ่งผลเป็นทรงกลม อีกอันผลเป็นทรงกระบอก
2
ถ้ามันต่างกันขนาดนี้ ทำไมคนอังกฤษยังเรียกสับปะรดว่า Pineapple ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเหมือนกันกับแอปเปิ้ล?
1
ทำไมคนอังกฤษถึงเลือกใช้คำว่า Pineapple แล้วเพื่อนบ้านส่วนใหญ่เขาใช้คำว่า ananas? (ที่แปลว่าอะไรก็ไม่รู้)
3
[ Note: บทความนี้ลองกวาดตาอ่านเพลินๆ ไม่ต้องซีเรียสกับศัพท์แปลกๆ ที่พบเจอระหว่างทางนะครับ คิดเสียว่ากำลังแอบดูไดอารี่ใครสักคนอยู่ก็แล้วกันเนอะ ]
5
เอาล่ะ สำหรับใครที่หลงเข้ามาแล้ว รัดเข็มขัดดีๆ นะครับ
2
เราย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของสับปะรดตั้งแต่เริ่มกัน
เดิมทีผลไม้ที่เรากินแล้วแสบปากอย่างสับปะรด ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองในบ้านเรา แต่ถิ่นดั้งเดิมของมันจริงๆ อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก บนทวีปอันห่างไกลที่ชื่อ "อเมริกาใต้"
1
ทวีปอเมริกาใต้
อเมริกาใต้เป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก ห้อมล้อมไปด้วยมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งซ้าย และแอตแลนติกฝั่งขวา
ริมขอบทวีปมีเทือกเขาแอนดีส เป็นบ่อเกิดของแม่น้ำหลายสาย หนึ่งในนั้นคือ ลุ่มแม่น้ำแอมะซอน
นั่นทำให้พื้นที่หลังเขา เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำการเกษตร ผู้คนที่มาถึงที่นี่จึงเริ่มต้นวิถีชีวิตด้วยการล่าสัตว์ ควบคู่ไปกับการเพาะปลูก
นั่นทำให้พื้นที่หลังเขา เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำการเกษตร ผู้คนที่มาถึงที่นี่จึงเริ่มต้นวิถีชีวิตด้วยการล่าสัตว์ ควบคู่ไปกับการเพาะปลูก
ซึ่งเมื่อผู้คนเหล่านั้น เดินลึกเข้าไปถึงใจกลางของทวีปและลงหลักปักฐาน ก็เชื่อกันว่าเป็นคนกลุ่มนี้เอง ที่เพาะพันธุ์สับปะรดขึ้นบริเวณทางตอนใต้ของบราซิล
ทุกวันนี้เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ชนเผ่าทิวปิ (Tupi)
1
ชนเผ่าทิวปิ
ชนเผ่าทิวปิ เป็นชนเผ่าที่เก่งในเรื่องเกษตรกรรมและมีภาษาเป็นของตัวเอง
พวกเขาส่งสับปะรด (และผลไม้อื่นๆ) ออกไปแลกเปลี่ยนกับชนเผ่าใกล้เคียงที่ใช้ภาษาคล้ายๆ กัน ซึ่งชนเผ่าเหล่านั้นก็จะเรียกผลสับปะรดตามชนเผ่าทิวปิว่า "nanas" (นาน่ะ แปลว่า อร่อยเลิศ มาจากสีและรสชาติของสับปะรด)
1
จนเวลาผ่านไปนับพันปี กระทั่งชาวโปรตุเกสมาถึงอเมริกาใต้ในปี 1500 ชนผิวขาวกลุ่มนี้ ก็ยึดเอาทรัพยากรทุกอย่างกลับไปยุโรปจนหมด ตั้งแต่เหล็ก ไม้ เมล็ดกาแฟ รวมถึงน้ำตาล
1
จนมาถึงสิ่งที่ไม่เคยเห็นอย่างสับปะรด พวกเขาก็ถามชนพื้นเมืองอย่างชนเผ่าทิวปิว่า 'ไอ่ผลรีๆ มีใบกระจุกตรงหัวนี่มันเรียกอะไร' คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ 'นาหน่ะ นานา หรือน่าน่ะ'
สุดท้ายก็เพี้ยนไปเป็น "อะนานา (ananas)" คนโปรตุเกสก็เลยบันทึกคำนี้เอาไว้ในคลังศัพท์ของตัวเองว่า "อะนานา คือ สับปะรด"
1
จนเมื่อชาวโปรตุเกสขนเอาสับปะรดกลับเข้าไปขายในยุโรป ชื่ออะนานา ก็ตามไปอยู่ในทุกที่ที่สับปะรดวางขาย ไม่ว่าจะเป็นในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี หรือเนเธอร์แลนด์ ซึ่งชื่อนี้ก็ติดตลาดอย่างรวดเร็ว ประเทศเหล่านั้นจึงเรียกสับปะรดด้วยคำคล้ายๆ กันว่า ananas
3
แต่เรื่องนี้กลับต่างออกไปเมื่อเจ้า ananas เดินทางเข้าสู่เกาะอังกฤษ
เพราะคนอังกฤษไม่เรียกสับปะรดว่า ananas แต่ดันไปเรียกสับปะรดว่า Pineapple
1
คำถามคือ แล้ว Pine กับ apple มันมาเกี่ยวกับสับปะรดได้ยังไง?
เกาะอังกฤษ (สีแดง)
ช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ในวันที่สับปะรดเพิ่งจะตบเท้าเข้าสู่เกาะอังกฤษ
สับปะรดถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีราคาสูงมาก เกินกว่าที่คนธรรมดาจะเอื้อมถึง เพราะมันปลูกที่เมืองหนาวไม่ได้ ต้องนำเข้าอย่างเดียว จึงมีแต่คนรวยกับชนชั้นสูงเท่านั้น ที่จะมีโอกาสได้ลิ้มลอง
พอเป็นอย่างนั้น สับปะรดเลยได้เข้าไปอยู่ในงานจัดเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ต่างๆ บทบาทส่วนใหญ่ก็จะหนักไปทางตั้งโชว์ เพื่อให้แขกในงานได้รับรู้ถึงความมั่งคั่งของเจ้างาน
1
ทีนี้ พอเป็นกลายไปเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง มันก็ต้องมีชื่ออะไรสักอย่างเพื่อเรียกผลไม้ชนิดนี้
ซึ่งชนชั้นสูงในยุคนั้น เขาก็มีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรกคือ ก็เอาตามชื่อที่มันมานั่นแหละ ชื่ออะนานา หรือทางที่สอง คือตั้งชื่อมันขึ้นมาเองซะเลย
1
ที่เรื่องนี้มันน่าสนใจ ก็เพราะพวกเขาเลือกทางที่สองนี่ล่ะ
5
ถ้าบ้านเรามีคำว่า "มะ" ซึ่งกร่อนมาจากคำว่าหมาก เพื่อใช้แทนลูกไม้หรือผลไม้ เช่น มะม่วง มะนาว มะขาม คนอังกฤษในยุคนั้นเขาก็มีคำว่า æppel (ออกเสียงประมาณว่า อายเพิล) หรือ apple (แอพเพิล) เพื่อใช้แทนอะไรที่เป็นลูกไม้หรือผลไม้ที่พบเห็นทั่วๆ ไป
5
ทีนี้ ถ้าพวกเขาเจอผลอะไรแปลกๆ เช่น แตงกวา ผู้ดีอังกฤษจะไม่พูดว่าแตงกวา เพราะเขาพูดไทยไม่ได้ แต่จะพูดว่า "eorþæppla" (อี ออท แธบ เพิล)
12
มาจากคำว่า earth (พื้นโลก) กับ apple (ผลไม้) กลายเป็นผลไม้ที่นอนกองอยู่ที่พื้นโลก (ในยุคนั้นผลไม้อาจจะมีน้อย ก็เลยใช้คำนี้แทนแตงกวา)
3
earth-apple (แตงกวา)
หรือถ้าพวกเขาเจอผลอินทผลัม เขาจะไม่พูดว่าอินทผลัม แต่จะพูดว่า "fingeræppla" (ฟิง เกอ แอพ เพิล) มาจากคำว่า finger (นิ้ว) กับ apple (ผลไม้) กลายเป็นผลไม้ที่มีหน้าตาเหมือนนิ้ว (อินทผลัม)
4
fingeræppla (อินทผลัม)
ซึ่งในช่วงเวลานั้น ก็มีผลไม้จากนอกยุโรปถูกนำเข้ามามากมาย ผลไม้ชนิดใหม่ๆ เลยถูกนำมาตั้งชื่อกันรัวๆ จนกระทั่งมาถึงคิวของสับปะรด
แน่นอนว่าถ้าจะตั้งชื่อสับปะรด ยังไงก็ต้องมีคำว่า apple เพื่อบอกว่านี่คือผลไม้ แต่มันเป็นผลไม้ที่หน้าตาเหมือนอะไรล่ะ?
ค้นไปค้นมาก็พบว่า เจ้าสับปะรดเนี่ย มันหน้าตาเหมือนผลชนิดหนึ่งที่เกิดจากต้นสน ที่ขึ้นอยู่ทั่วไปบนเกาะอังกฤษ ซึ่งต้นสนในภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Pine (ไพน์) ครับ
5
ดังนั้นคำว่า Pine (ต้นสน) จึงถูกใช้เป็นตัวบอกรูปร่างหน้าตาของผลไม้ชนิดนี้ ส่วน apple ก็ถูกใช้เป็นตัวบอกว่านี่คือผลไม้
2
เมื่อรวมกันจึงกลายเป็น "Pineapple" ที่คนอังกฤษใช้เรียกผลไม้ที่คล้ายผลจากต้นสน ซึ่งก็คือสับปะรดนั่นเอง
5
ต้นสนกับลูกสน (Pine)
นับจากวันที่คนอังกฤษเรียกสับปะรดว่า Pineapple ดูเหมือนว่าคนทั่วไปจะคุ้นเคยกับคำนี้ เพราะมีคำว่า apple ต่อท้าย มากกว่าชื่อดั้งเดิมของมันอย่าง ananas ที่ฟังแล้วไม่มีความหมาย
คำว่า ananas ที่เพื่อนบ้านใช้กันอย่างแพร่หลายจึงก็ค่อยๆ ถูกปัดตกไป จนเหลือแต่คำว่า Pineapple ที่คนอังกฤษใช้เรียกแทนสับปะรดจนมาถึงปัจจุบัน
2
ส่วนคำว่า apple ที่เริ่มต้นมาจากคำที่แทนความหมายว่าผลไม้ แม้วันนี้ apple จะไม่ได้แปลว่าผลไม้ทั่วๆ ไปอีกแล้ว เพราะผลไม้ที่รู้จักมีมากขึ้น จะมาตั้งชื่อแบบ apple อันนั้น apple อันนี้ ก็คงจะไม่ไหว
6
apple จึงมีความหมายแคบลงเรื่อยๆ จนเหลือแค่ผลแอปเปิ้ล กับชื่อบริษัทเทคที่เรารู้จักกัน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วความหมายดั้งเดิมของ apple ก็ยังไม่ได้หายไปไหน
มันยังคงซ่อนตัวอยู่หลังคำว่า Pine ที่จะกลายมาเป็นสับปะรด แม้ว่าแอปเปิ้ลกับสับปะรดในวันนี้ จะไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยก็ตาม
2
#WDYMean
อ้างอิงจาก
ประวัติศาตร์สับปะรด
ชนพื้นเมืองทิวปิและภาษาของเขา
เมื่อชาวยุโรปค้นพบแผ่นดินใหม่
อ้างอิงรูปภาพจาก getty images, pixabay, google image
โฆษณา