26 มี.ค. เวลา 05:00 • สุขภาพ

โกโก้ ช่วยต้านเศร้า-เสริมภูมิ แพทย์แนะกินให้ถูกช่วยสุขภาพมากกว่า!

วิจัยพบ โกโก้และช็อกโกแลต ดีต่อสุขภาพหลายด้าน แนะวิธีเลือกกินให้ได้ประโยชน์มากกว่าน้ำตาลไม่พุ่ง! ดื่มเป็นแก้วของวัน สดชื่นเต็มตื่น!
โกโก้และช็อกโกแลต นับเป็นเมนูเครื่องดื่ม และของหวานถ้วยโปรดของใครหลายคน ผลผลิตจากต้นโกโก้ หรือต้นคาเคา (Theobroma cacao)ผ่านกระบวนการรีดเอาไขมันโกโก้ ออกจากเนื้อโกโก้ ซึ่งโกโก้ธรรมชาติที่มีไขมันอยู่เพียง 10-24% ถือเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ
สำหรับช็อกโกแลต เป็นการนำโกโก้เหลวไปขึ้นรูปหรือเทใส่แม่พิมพ์โดยไม่แยกไขมัน จึงยังคงมีไขมันโกโก้ในปริมาณมาก ดาร์กช็อกโกแลต 100% มีรสขม
ส่วนใหญ่จึงมีการเติมนมและน้ำตาลทำให้รับประทานง่ายขึ้น
เครื่องดื่มโกโก้
ประโยชน์ของโกโก้
  • อุดมด้วยโพลีฟีนอล
สารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โพลีฟีนอล (Polyphenol) พบได้ในอาหาร เช่น ผลไม้ ผัก ชา ไวน์ โกโก้ และช็อกโกแลต มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระลดการอักเสบ ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล และลดระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและการอักเสบของเซลล์ในร่างกาย
  • ช่วยลดความดันโลหิต
จากการศึกษาพบว่าทั้งผงโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตสามารถลดความดันโลหิตได้ โดยพบว่าชาวเกาะในแถบอเมริกากลาง ที่ดื่มโกโก้เป็นประจำมีความดันโลหิตต่ำกว่าญาติบนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ดื่มโกโก้ หรือดื่มในปริมาณน้อย เนื่องจากฟลาวานอลในโกโก้มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มระดับไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ในเลือด ซึ่งสามารถเพิ่มการทำงานของหลอดเลือดและลดความดันโลหิต
นอกจากนี้ โกโก้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิด LDL หรือ “ไขมันไม่ดี” ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดคล้ายกับการใช้แอสไพริน ลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดการอักเสบ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงภาวะหัวใจวาย หัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมอง
  • โพลีฟีนอลช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองและช่วยให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าโพลีฟีนอลที่อยู่ในโกโก้ สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
นอกจากนี้ ฟลาโวนอลยังมีผลต่อการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อของหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น
จากการศึกษาผู้สูงอายุ 34 คน ให้รับประทานโกโก้ที่มีฟลาวานอลสูง พบว่าการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองเพิ่มขึ้น 8% หลังจาก 1 สัปดาห์ และ 10% หลังจาก 2 สัปดาห์
  • อารมณ์ดีและลดอาการซึมเศร้า
สารฟลาโวนอลในโกโก้ ช่วยเปลี่ยนทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ให้เป็นเซโรโทนิน หรือสารแห่งความสุข ที่มีความสำคัญในการพัฒนาระบบสื่อประสาท สามารถส่งผลต่ออารมณ์ หากร่างกายมีระดับเซโรโทนินที่สมดุล จะทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ให้ดีขึ้น ลดความเครียด ลดไมเกรน และลดอาการซึมเศร้า
การศึกษาในชายสูงอายุ พบว่า กินช็อกโกแลตเชื่อมโยงกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตโดยรวมที่ดีขึ้น
  • ควบคุมอาการโรคเบาหวานชนิดที่ 2
แม้การบริโภคช็อกโกแลตมากเกินไปจะไม่ดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่โกโก้มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน เนื่องจากฟลาโวนอลในโกโก้สามารถชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรตและการดูดซึมในลำไส้ ควบคุมการหลั่งอินซูลิน ลดการอักเสบ และกระตุ้นการดูดซึมน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่กล้ามเนื้อ
  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก
การบริโภคโกโก้ หรือแม้แต่ช็อกโกแลตอาจช่วยควบคุมน้ำหนักได้ เชื่อกันว่าโกโก้อาจช่วยควบคุมการใช้พลังงาน ลดความอยากอาหารและการอักเสบ รวมถึงเพิ่มการออกซิเดชั่นของไขมันและทำให้รู้สึกอิ่ม
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำมีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่าคนที่รับประทานช็อกโกแลตน้อยกว่า หรือไม่รับประทานเลย
นอกจากนี้ การศึกษาการลดน้ำหนักโดยใช้อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำพบว่ากลุ่มที่ได้รับประทานช็อกโกแลต ที่มีปริมาณโกโก้ 81% วันละ 42 กรัม จะลดน้ำหนักได้เร็วกว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารปกติ
  • ป้องกันมะเร็ง
ฟลาโวนอลในผัก ผลไม้ และอาหารอื่นๆ มีคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็ง รวมถึงความเป็นพิษต่ำ และผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เพียงเล็กน้อย ซึ่งโกโก้มีฟลาโวนอลที่มีความเข้มข้นสูงที่สุดในบรรดาอาหารต่อน้ำหนักทั้งหมด
การศึกษาพบว่ามีผลในการต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ต่อสู้กับการอักเสบ ยับยั้งการเติบโตของเซลล์ และช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
  • ลดอาการของโรคหอบหืด
โกโก้มีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืดอย่างมาก เนื่องจากมีสารต่อต้านโรคหืด เช่น ธีโอโบรมีน และธีโอฟิลลีน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ปอดขยายออกทำให้หายใจผ่อนคลายและลดการอักเสบ
ธีโอฟิลลีน ยังใช้ในการรักษาและป้องกันอาการหายใจผิดปกติ และหายใจลำบากที่เกิดจากโรคปอดเรื้อรัง
  • ต้านเชื้อแบคทีเรียและกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ทำการวิจัยผงโกโก้ต่อภาวะฟันผุและโรคเหงือก เนื่องจากโกโก้มีสารประกอบมากมายที่มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย ต้านเอนไซม์ และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพช่องปาก ซึ่งจะเห็นได้จากการศึกษาหนึ่ง โดยนำหนูที่ติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปากให้สารสกัดจากโกโก้ ปรากฏว่าภาวะฟันผุลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับหนูที่ได้รับน้ำเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ยังมีการวิจัยเพิ่มเติมแน่ชัดแล้วว่าโกโก้ในช็อกโกแลตไม่ได้เป็นสาเหตุของสิว แต่ในทางกลับกันพบว่าโกโก้ที่อุดมด้วยโพลีฟีนอลให้ประโยชน์อย่างมากต่อผิว การบริโภคโกโก้ในระยะยาวมีส่วนช่วยในการป้องกันแสงแดด ช่วยการไหลเวียนโลหิตของผิวหนัง และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวอีกด้วย
กินโกโก้อย่างไรให้ได้ประโยชน์
  • เลือกดาร์กช็อกโกแลตที่มีคุณภาพดีและมีโกโก้อย่างน้อย 70%
  • ควรใช้ผงโกโก้ที่ไม่ผ่านการอัลคาไลซ์
  • ดาร์กช็อกโกแลตมีโกโก้และฟลาโวนอลมากกว่าช็อกโกแลตนม
  • ช็อกโกแลตขาวและช็อกโกแลตนมไม่มีประโยชน์เท่ากับดาร์ก ช็อกโกแลต
  • ควรเลือกโกโก้ที่เป็นโกโก้แท้ 100% และไม่ควรใส่ส่วนผสมอย่างนม หรือน้ำตาล เพิ่มมากเกินไป
  • สำหรับสุขภาพของหัวใจ ให้เลือกผงโกโก้ฟลาวานอลสูง 0.1 ออนซ์ (2.5 กรัม) หรือ ช็อกโกแลตฟลาวานอลสูง 0.4 ออนซ์ (10 กรัม) เพิ่มในอาหารทุกวัน
ปริมาณโกโก้ที่ใช้ในช็อกโกแลตจะแตกต่างกันไปตามผู้ผลิต และฟลาโวนอลมักถูกทำลายในการผลิต จึงควรบริโภคในปริมาณที่พอดี ควรเลี่ยงกินโกโก้ที่เพิ่มนม และน้ำตาล เพราะอาจจะทำให้ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือดสูงขึ้น
ทั้งนี้โกโก้มีสารธีโอโบรมีนสูง มีฤทธิ์คล้ายคาเฟอีน หากกินเยอะเกินมากอาจส่งผลให้ใจสั่น หรือนอนไม่หลับ
จึงแนะนำว่าผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
ขอบคูณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา