27 มี.ค. เวลา 13:00 • ธุรกิจ

กฎหมายสมรสเท่าเทียม จะทำให้ประเทศไทยรวยขึ้นจากการเป็นเมืองหลวง LGBTiQ

ตอนนี้ประเทศไทยกำลังขยับเข้าใกล้คำว่าประเทศเสรีทางเพศเข้าไปอีก 1 ก้าว โดยมีแนวโน้มสูงที่ไทยอาจจะกลายเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย รองจากไต้หวัน และเนปาล ถือว่าก้าวหน้ากว่าประเทศใดๆใน ASEAN เพราะเป็นการเปิดเสรีให้คู่สมรสเพศเดียวกัน LGBTiQ สามารถแต่งงานกันได้อย่างถูกกฎหมายพร้อมกับได้รับสิทธิทุกด้านเทียบเท่าคู่ชาย-หญิง
ประเด็นที่น่าสนใจ และคิดว่ารัฐบาลไทยเองก็คาดหวังอยู่ไม่น้อยด้วย คือ เรื่องผลประโยชน์ทางอ้อมที่จะนำมาสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศ โดยจากการสำรวจของนิตยสาร Entrepreneur พบว่าในปี 2019 นั้น กลุ่ม LGBTiQ ทั่วโลก มีขีดความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยถึงกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์
ทำให้บริษัทข้ามชาติหลายแห่งเริ่มจับตามองตลาด LGBTiQ (Pink money) อย่างใกล้ชิดมากขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา และพวกเขาพบว่าเกือบ 90% ของ LGBTiQ ในอเมริกานั้นตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์หรือบริษัทที่ตื่นตัวเรื่องเพศ และให้ความสำคัญอัตลักษณ์ทางเพศของ LGBTiQ เป็นหลัก
หากย้อนกลับไปดูที่สภาพตลาดในอเมริกานั้นจะพบว่าประมาณ 4.5% ของประชากรอเมริกาทั้งประเทศ หรือประมาณ 15 ล้านคน นิยามว่าตัวเองเป็น LGBTiQ ด้วยกำลังซื้อที่รวมเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ บวกกับปริมาณประชากรในกลุ่มที่เพิ่มมากขึ้นนี้ คือ มากกว่ากำลังซื้อของกลุ่มชาว Asian American (อเมริกันผิวเหลือง) รวมกันซะอีก
เพราะปัจจุบันคนเอเชียที่อพยพไปอยู่อเมริกาจนได้สัญชาตินั้นยังมีกำลังซื้อรวมกันแค่ประมาณ 800 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง เท่ากับว่าตอนนี้ กลุ่มประชากรที่บริษัทในอเมริกาจะทุ่มงบการตลาดไปให้มากที่สุด จะมี 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มคนเม็กซิโกที่มีกำลังซื้อรวมกันประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์ กลุ่มคนผิวดำประมาณ 1,200 ล้านดอลลาร์ กับกลุ่ม LGBTiQ ประมาณเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์
บริษัท LGBT Capital เคยประเมินไว้ว่าเมื่อปี 2019 นั้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้รับอานิสงค์จากนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTiQ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ LGBTiQ ไปเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1.2% ของ GDP ซึ่งอันนี้คือตัวเลขเก่าของปี 2019 นะ
อย่าลืมว่าปัจจุบันผ่านจุดนั้นมา 5 ปีแล้ว ตลาด LGBTiQ ย่อมใหญ่ขึ้นกว่าเดิม หากไทยสามารถกลายเป็นเมืองหลวง LGBTiQ แข่งกับไต้หวันได้น่าจะดึงเม็ดเงินเข้าประเทศมาได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคต หลายๆแบรนด์ในโลกไม่ว่าจะ Gucci, Versace, Balenciaga, Mercedes Benz ต่างก็หันมามุ่งทำตลาดทางกลุ่มลูกค้า LGBTiQ กันหมดแล้ว เพราะเป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรที่ชื่นชอบสินค้าหรู Luxury และในขณะเดียวกันก็มีกำลังซื้อสูง
ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี หากไทยจะดันตัวเองไปสู่เส้นทางดังกล่าวนี้ ไหนๆโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยตอนนี้ก็ยังอิงอยู่กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลักอยู่แล้วก็ไปให้มันสุดๆไปเลย เน้นจัด Event economy ถ้ารัฐบาลมีความสามารถก็ควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ พัฒนา facilities ต่างๆให้พร้อมแบบสิงคโปร์เผื่อวันข้างหน้าไทยจะมีโอกาสได้เป็น Host งานคอนเสิร์ตใหญ่ๆแบบงาน Taylor Swift ที่สิงคโปร์บ้าง
Source: LGBT Capital, Bloomberg, Entrepreneur, Financial Times, Wall Street Journal, South China Morning Post
โฆษณา