28 มี.ค. เวลา 14:17 • ความคิดเห็น
ลอกมาให้อ่าน
ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
แล้ววันหนึ่ง....☺☺☺
แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....
เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ
จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช
อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น
มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน
มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย
หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย
เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ
ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน
มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน
บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน
มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็น
ผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่
แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้
เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน
ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา
มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามา
ช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร
เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว
ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี
ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
.
ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่น
ในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก
คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็ก
ที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย
มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้า
พอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว
ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า
สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิด
จัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น
จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา
แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น
ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์
ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้
เราก็ไม่ควรเชื่อ
ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง
หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน
ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก
โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้
หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้น
อย่างยาวนาน
ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด
ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ
ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาล
มารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้
ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้
หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม
ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า
ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ
แล้วเราก็จะชินไปเอง…
ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้
เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า
มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…
ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง
น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้
อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน
ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด
แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย
มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย
หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้
แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้
ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า…
ทำไมต้องเป็นเราด้วย…
วิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ
วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี
ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริง
ของการป่วยของเราเองได้
ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี
แล้วจะชินไปเอง……
มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง
ที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่……
ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น
ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง
ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่าง
รักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้…..
โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เรา
ใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย
ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่
แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น
ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ
ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ
ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่ง
เบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ
ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น
จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา
มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง
ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า
คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม
มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้
ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ
เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ
ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส
หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ?
แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมา
เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง……
พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ
เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไข
และปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้
มีคำถามในใจว่า...
“ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม
มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ
หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ”
ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจ
ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น
เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธี
แก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา
จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี
ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม
หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์
และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย
ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด
ด้วยตัวเองแล้ว
ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง
ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้
เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษา
ด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม
ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ
และอธิษฐานจิต...
.
ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอ
ดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม
เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า
พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่า
เป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย
แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว
ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่
ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก
อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์
ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย
แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตาย
เป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้…
การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน
เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค
ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด
บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆ
ว่ามาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้
แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์
มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ
ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด
ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้
เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน
และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเอง
ก็อัศจรรย์ใจมาก
ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริง
ของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้า
ประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ
พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต
ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆ
ด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาส
ให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน
จนเกือบจะสายเกินไป
หรือหมดโอกาสไปเสียเลย
แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ
และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง
จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น
แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร
แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว
ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย
ในวัฏสงสารได้เลย
พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือก
และเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา
ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร
จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการ
ที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร
การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร
ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษา
ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป
เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ
แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด
อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา…
สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่า
เด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น
16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้น
กว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้
ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ
มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย
ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น
เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม
พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี
เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ
โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก
สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์
จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย
แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง
เรื่องนี้ให้มาก
หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง
ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงาย
อย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ
ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน
แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เรา
ไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุด
ไปตลอดชีวิตเลย
คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต
คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้
และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง
แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้
ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา
แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง
การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ
เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา
วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต
ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้
ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด…
/////////
ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับ
✨ แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ✨
ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ
สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดี
ช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
ขอบพระคุณน้องที่ส่งมา ทำงานในโรงพยาบาล หน่วยใกล้กัน ซึ่งเป็นผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและคอยช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขัดสนในโรงพยาบาลของเรา
โฆษณา