7 เม.ย. เวลา 12:24 • ไลฟ์สไตล์

สภาวะยอมโง่

สมองและจิตใจของมนุษย์นั้นแปลกประหลาด มันสุดจะหยั่งถึงแม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็หาใช่ว่าจะเข้าใจถึงมนุษย์อีกคนด้วยกัน สภาวะของสมองนี่ก็เช่นกัน
ก็อย่างเช่นเคยว่าผมไม่ใช่นักจิตวิทยาที่จะคอนเฟิร์มได้ทุกอย่างแต่ทุกอย่างที่ผมพูดเกิดมาจากการสังเกตทั้งสิ้น สั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิต เลยทำให้ได้ข้อสรุปนี่มา
โดยสภาวะยอมโง่นี่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นโดยเงื่อนไขบางประการที่ส่งผลต่อจิตใจและสิ่งที่ผู้ถูกกระทำยึดถือ โดยผู้ถูกกระทำจะแสดงอาการต่อต้านภัยคุกคามนั้นในรูปแบบต่างๆ
สรุปง่ายๆมันคือการที่ใครสักคนต่อต้านกับภัยคุกคามจากจิตใจของตนถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจก็ตามว่าความคิดของตนนั้นมันผิด ยกตัวอย่างเช่นการถกเถียงในประเด็นต่างๆ
อริสโตเติลเป็นนักปรัชญาและผู้รู้รอบด้านชาวกรีก เค้ามักที่จะถามคำถามที่ซับซ้อนให้อีกฝ่ายได้ตอบและถกเถียงปัญหาต่างๆกัน โดยชอบถามคำถามที่มันวกวนเพื่อทำให้อีกฝ่ายนั้นโดยตรรกะของตัวเองทำลาย
และด้วยวิธีการแบบนั้นมันจึงทำให้อริสโตเติลมักที่จะชอบที่จะทะเลาะกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ และมันหนักถึงขั้นมีคนที่คิดที่จะฆ่าเค้าเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าอริสโตเติลจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม
พอผมฟังเรื่องนี้จบผมก็ได้แต่คิดสงสัยว่าทำไมคนอื่นที่ถูกเถียงกับอริสโตเติลถึงได้โกรธอริสฯ ถึงขนาดนั้นกันนะ? ทั้งที่อริสฯเป็นฝ่ายถูกในการเถียงครั้งนั้น
รวมไปถึงการที่ผมได้ไปพบเจอกับเหตุการณ์ที่คลายๆกันกับอริสโตเติลมันเลยทำให้ผมฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง ถึงเงื่อนไขของการที่คนถึงได้เลือกที่จะเถียงอริสโตเติลถึงแม้ว่าพวกเค้าจะผิด
มนุษย์เป็นสิ่งที่เหมือนกันน้ำ ไร้รูปร่างและไร้ความมั่นคง และสิ่งที่ทำให้มนุษย์คนนึงมีตัวตนที่แตกต่างจากอีกคนนั้นคือสิ่งที่เรียกว่าเสาหลักของตนเอง มันคือความเชื่อในเรื่องใดสักเรื่องนึงอย่างแรงกล้า เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตของตนเอง
และแน่นอนด้วยแนวทางของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันมันจึงทำให้แนวทางและเสาหลักของตนเองมีความหลากหลาย มันจึงไม่แปลกที่มนุษย์นั้นจะสามารถที่จะทะเลาะและถกเถียงกันได้
ความมั่นใจในเรื่องอะไรสักเรื่องนึงและนำมาเป็นแนวทางของตนเองนั้นยิ่งคุณรู้สึกยึดมั่นกับมันมากเท่าไหร่ ยิ่งเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นอีโก้ของตัวเองไปด้วยเช่นกัน
และแน่นอนอีโก้หรือความมั่นใจที่มากขึ้นนั้นเท่ากับว่ามนุษย์นั้นยิ่งหนักแน่นกับตัวเองมากขึ้น มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนที่ยึดมั่นในอะไรสักอย่างนึงมากๆเค้าถึงได้ดูเข้มงวดกับแนวคิดของเค้า เพราะเค้าไม่ได้แค่เชื่อว่าสิ่งนี้สมเหตุสมผลแต่เพราะว่าเค้าก็กำลังแบกอีโก้ของตัวเองด้วยเช่นกัน
และแน่นอนมนุษย์นะเปราะบางการพูดอะไรแรงๆว่าร้ายตนเองนั้น มันยังไม่ได้ทำให้มนุษย์รู้สึกสั่นคลอนเท่ากับการตั้งข้อสงสัยต่อแนวคิดของตนเอง ยิ่งถูกตั้งข้อสงสัยกับตัวเองมากแค่ไหนมนุษย์จะเริ่มรู้สึกถึงอันตรายมากขึ้น
และในเมื่อถูกจี้จนเริ่มพบความเปราะบางของแนวคิดของตนหรือก็คือส่วนที่ไม่สมเหตุสมผลของตนเอง ในจุดนั้นคือจุดที่ความคิดและจิตใจของมนุษย์นั้นสั่นคลอนมากที่สุด
และยิ่งฐานของมนุษย์นั้นสั่นคลอนมากเท่าไหร่ นั้นเท่ากับว่าน้ำหนักที่แบกเอาไว้หรือก็คือความมั่นใจจะเริ่มที่จะสั่นตามและมันอาจที่จะหล่นลงมาด้วยเช่นกัน เราจะมั่นใจได้ก็ต่อเมื่อเรามีฐานหรือก็คือสิ่งที่เราคิดว่ามันสมเหตุสมผลเราถึงได้เอาความมั่นใจไปวางบนนั้นได้
แต่ยามใดที่มีคนพบเห็นถึงรอยร้าวของฐานนั้น มันเท่ากับเป็นการชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดของตัวเองโดยปกติมันก็คงจะไม่มีอะไรหรอกแต่ถ้าฐานนั้นแบกความมั่นใจไว้ด้วยละก็พอวันที่มันถล่มลงมามันจะราวกับโลกถูกทำลายเลยละ
อย่างแรกคือเพราะเรามั่นใจเราถึงได้ทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่นไม่มีใครที่จะกล้าทำงานที่ตัวเองไม่รู้หรอกว่าทำผิดหรือถูกเพราะถ้าผิดก็จะทำให้ตัวเองอาจที่จะต้องซวยได้ แต่เพราะว่าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกเราถึงได้ทำ
แต่ถ้ามันกลายเป็นว่าคุณพบว่าความเข้าใจของคุณมันผิดละ? นั้นจะเท่ากับว่าทุกอย่างที่คุณทำมามันผิดทั้งหมดเลยยังไงและแน่นอน มนุษย์ไม่สามารถที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้หรอกในวินาทีแรก และยิ่งเรามั่นใจมากพอมันพลาดขึ้นมาก็ยิ่งจะไม่ยอมรับ
อะ แต่คุณอาจจะสงสัยว่าสภาวะยอมโว่ กับ สภาวะข้ออ้างมันต่างกันอย่างไร? ถ้าคุณเคยผ่านโพสต์เก่าๆของผมผมอธิบายไว้ประมาณว่ามันคือตอนที่มนุษย์ได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างมากจนมนุษย์เลือกที่จะโกหกตัวเองเพื่อที่ตะปกป้องตัวเองจากความเสียหายเังกล่าว
แต่สภาวะยอมโง่ก็อาจจะเหมือนกับข้ออ้างตรงที่ทั้งสองสภาวะจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจิตใจได้รับความเสียหาย แต่รีแอ็คที่ทั้งสองมีให้นั้นไม่เหมือนกันคือข้ออ้างจะรีแอ็คออกมาเป็นในเชิงการปกป้องตัวเอง
ส่วนยอมโง่คือรีแอ็คที่จะออกไปในเชิงที่รุนแรงกว่า เป็นการต่อต้านภัยคุกคามทางจิตของตัวเอง คนที่อยู่ในสภาวะยอมโง่ไม่ได้หลอกตัวเองเค้ารับรู้ทุกอย่างแต่อีโก้ที่แบกไว้มันใหญ่เกินไปกว่าที่จะเอามันลงได้ เพราะถ้ายอมรับก็เท่ากับว่าตลอดมาเรานั้นผิดทั้งหมด และคุณจะไม่มีทางที่จะยอมรับมันได้ในตอนนั้น
สภาวะยอมโง่จึงเป็นการที่คุณออกรีแอ็คต่อต้านภัยคุกคามของตัวเองโดยการเอาอีโก้ไว้บนบ่าไม่สนด้วยซ้ำว่าสุดท้ายตัวเองจะพูดอะไรออกมา เพียงแค่เพื่อปกป้องอีโก้พังๆของตัวเองก็พอแล้ว
และสุดท้ายแน่นอนมันคือเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าจะกับใคร เพราะงั้นถ้าเจอสถานการณ์นี้สิ่งที่คุณจะทำได้คือปล่อย ให้เวลากับเค้าหรือกับตัวเองเวลาจะเยียวยาตนเอง ส่วนหลักจากนั้นจะทำยังไงก็แล้วแต่คนไป
โฆษณา