8 เม.ย. เวลา 07:52 • ความคิดเห็น

การใช้ social media ให้ชนะมิตรและจูงใจคน

มีหลายครั้งมากๆที่น้องๆผู้กำลังโด่งดังและกำลังจะประสบความสำเร็จในวงการบันเทิง แล้วถูกขุด ถูกแฉ จากโพสต์ที่เคยลงเคยเขียนใน social media เมื่อหลายปีก่อน ทั้งที่ในตอนที่โพสต์อะไรนั้นอาจจะยังเด็กมากๆ อาจจะโพสต์ด้วยอารมณ์โกรธ แต่พอถูกเอามาแฉก็กลายเป็นเรื่องเป็นราว จนหลายคนหมดอนาคตก็มี
กรณีแบบนี้เราเริ่มเห็นมากขึ้นเรื่อยๆในวงการบันเทิง แต่ในวงการธุรกิจก็มีอยู่หลายกรณีเช่นกัน เวลาสมัครงานหลายบริษัทก็เริ่มดูไล่ไปถึง facebook IG ว่าตัวตนนิสัยใจคอเป็นอย่างไร หลายคนไม่ได้งานก็เพราะโพสต์แรงๆที่เคยเขียนไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือด่าที่ทำงานเก่า หรือแม้แต่ทำงานอยู่แล้วเผลอไปโพสต์ความเห็นส่วนตัวแล้วกระทบมาถึงที่ทำงาน ก็ถูกให้ออกจากงานอยู่ เป็นข่าวก็มาก ไม่เป็นข่าวก็เยอะ
ผมเองก็มีบทเรียนในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย กว่าจะเข้าใจก็มีเรื่องมีราวอะไรเยอะ ตอนที่มี facebook ใหม่ๆ ในตอนนั้นพองอนอะไรกับภรรยาก็ชอบไปเขียนขึ้น fb เพราะต้องการให้เขาเห็นว่าเราโกรธเรางอน ภรรยาเห็นก็ไม่พอใจว่าทำไมต้องไปประกาศให้คนอื่นรู้ มีคนโทรมาถาม เรื่องราวก็กลายเป็นทะเลาะใหญ่โต จนต้องตกลงกันว่าเราจะไม่เขียนอะไรที่เป็นส่วนตัวเวลาไม่พอใจกันลง fb อีก เพราะที่เคยทะเลาะเบาๆ แป๊บเดียวก็เคลียร์กันได้ พอพูดผ่านโซเชี่ยลก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินไปมาก
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่า การโพสต์อะไรบนโซเชียลนั้น คล้ายๆกับการเขียนขึ้นบิลบอร์ดทั่วกรุงเทพฯ คนเห็นเต็มไปหมด เกี่ยวไม่เกี่ยวก็เห็น จากไม่รู้กลายเป็นรู้ แถมลบไม่ได้อีกเพราะต่อให้เราลบก็จะมีคนแคปไว้ ไม่ว่ากี่ปีๆกี่ปี ข้อความบนบิลบอร์ดนั้นก็จะกลับมาหาเราเสมอ
ซึ่งผลกระทบนี้มันขัดกับความรู้สึกตอนโพสต์มาก เพราะเราจะนั่งอยู่คนเดียวไม่มีใคร พิมพ์ลงไปก็คิดไปเองว่าอยากให้คนนั้นคนนี้เห็น อยากให้ข้อความนั้นสื่อไปหาแค่บางคน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเหมือนขึ้นบิลบอร์ด หรือไปตะโกนด้วยเครื่องขยายเสียงต่อคนเป็นพัน นอกจากคนจะรู้จะเห็นเยอะกว่าความรู้สึกจริงแล้ว คนที่ถูกพาดพิงก็รู้สึกว่าถูกประจานไปเป็นหมื่นเป็นแสนคนอีกด้วย เรื่องราวแห่งความขัดแย้งและหายนะมักจะเกิดจากความรู้สึกหลอกๆตอนโพสต์แบบนี้
1
เวลาโกรธหรือโมโห หรือแค้นอะไรใครก็ตาม จึงต้องควรระวังความรู้สึกหลอกๆนี้ว่าเราพร้อมที่จะขึ้นบิลบอร์ดทั่วประเทศหรือยัง ถ้ายังก็ควรจะต้องระงับใจไว้ หรือแม้แต่พร้อม ก็ควรจะชั่งใจต่อว่าเราจะบันทึกความโกรธนี้ให้คนเห็นชั่วชีวิต ไปทำคนอื่นให้อับอายขายหน้า ประจานเขาในที่สาธารณะ ทำแบบนั้นแล้วมีผลเสียอะไรบ้าง ก็อาจจะลดทอนอารมณ์ชั่ววูบนั้นไปได้มากอยู่เหมือนกัน
1
แล้วโซเชียลมีเดียจะยังประโยชน์สูงสุดให้เราได้อย่างไร นอกจากประโยชน์จากความเพลิดเพลินในการติดต่อสื่อสารกับคนที่เรารัก อัพเดทตัวเอง บันทึกความทรงจำ อวดโน่นนี่ได้ความภูมิใจ สบายใจส่วนตัวแล้ว
ผมเองเพิ่งเข้าใจประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากได้ใช้โซเชียลในมุมนั้นโดยไม่ตั้งใจมาซักพัก ประโยชน์ดังกล่าวเป็นเรื่องเดียวกับ สิ่งที่เดล คาร์เนกี สอนในหนังสือวิธีชนะมิตรและจูงใจคน หนังสืออมตะที่เอามาอ่านทีไรก็ได้ข้อแนะนำที่ดีทุกครั้ง ในบทหนึ่งของหนังสือ มีหัวข้อ “วิธีปฏิบัติที่ทำให้คนอื่นชอบท่าน” ในสมัยนั้นยังไม่มีโซเชียลใดๆทั้งสิ้นก็ยังเป็นคำแนะนำที่ได้ผลมากๆ ซึ่งพลังแห่งคำแนะนำนั้นจะยิ่งทวีคูณมากไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่าเมื่อมาถึงยุคนี้สมัยนี้
เดล คาร์เนกีเล่าถึง ฮอลล์ เคน ที่เป็นนักประพันธ์ที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลกในสมัยนั้น ชีวิตเขาดูแล้วไม่น่าจะมีโอกาสได้มาถึงจุดนั้นเลยเพราะเป็นแค่ลูกช่างตีเหล็กที่ชอบโคลงกลอน ในวัยหนุ่มฮอลล์ชอบโคลงของโรเซ็ตตีซึ่งเป็นนักประพันธ์ชื่อดังมากจนถึงขนาดแต่งปาฐกถาสรรเสริญเยินยอความสำเร็จอย่างสุดใจ แล้วส่งสำเนาปาฐกถานั้นให้โรเซ็ตตีด้วยชุดหนึ่ง
1
แน่นอนว่าโรเซ็ตตีก็มีความปลาบปลื้มยินดีและคิดว่าใครที่เลื่อมใสและเข้าถึงเขาในแบบนั้นได้ก็น่าจะเป็นคนเฉลียวฉลาดอยู่ ก็เลยเชิญฮอลล์ เคนมาที่ลอนดอนและเสนอให้ทำงานเป็นเลขานุการส่วนตัว ซึ่งในหนังสือบอกว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งชีวิตของฮอลล์ เคน เพราะทำให้เขาได้เจอศิลปินแห่งยุคสมัย ได้คำแนะนำดีๆ ได้อ่านงานดีๆ ทำให้เขาไปถึงจุดสูงสุดของอาชีพในที่สุด
เดล คาร์เนกีสรุปว่า ฮอลล์อาจจะตายในฐานะยากจนและไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงของเขาแพร่หลายถ้าเขามิได้เขียนความเรียงแสดงความยกย่องสรรเสริญฉบับนั้น และนี่คือบทเรียนที่เดลสรุปว่า พลังอันมหาศาลที่ทำให้คนอื่นชอบก็คือ การยกย่องสรรเสริญด้วยความสุจริตและจริงใจ
3
ผมโดยส่วนตัวชอบเขียนถึงบุคคลที่ผมประทับใจในชีวิตอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ก่อนมีเพจและเมื่อทำเพจนี้แล้ว เพราะมีความรู้สึกอยากบันทึกเรื่องราวดีๆและคำขอบคุณไว้ และก็แอบคิดว่าอยากให้บุคคลนั้นๆได้รู้และดีใจด้วยเหมือนกันแต่ก็ขี้อายเกินที่จะไปพูดต่อหน้า ก็คงเหมือนกับที่ฮอลล์ เคน ประทับใจมากๆในฝีมือของนักประพันธ์มากจนต้องเขียนออกไป
แต่ด้วยยุคนี้ที่โซเชียลมีเดียนั้นทรงพลังมาก พอเขียนไปแล้ว บ่อยครั้งที่ผมจะได้รับโทรศัพท์หรือข้อความจากคนที่ผมเขียนถึงด้วยความรู้สึกที่ดี หลายท่านก็ไม่ได้เจอกันนานหลายปี หลายครั้งก็มีคนบอกว่าคนที่ผมเขียนถึงนั้นชอบและฝากขอบคุณ แล้วพูดถึงผมในทางที่ดีต่อจากบทสนทนานั้น หรือแม้แต่เอาไปแปะข้างฝาอวดคนก็มี คนอื่นมาอ่านแล้วไปปลื้มไปเม้นคนนั้นต่อก็ยิ่งทำให้มีความรู้สึกดีๆต่อกัน ผู้ใหญ่บางท่านที่เข้าถึงยาก พอเขียนบทความที่ยกย่องและชื่นชมด้วยความจริงใจแล้ว หลายท่านก็เอ็นดูและเมตตาผมมากขึ้นมาก
ผมก็เลยเริ่มเห็นประโยชน์ที่สำคัญของโซเชียลมีเดียและเมื่ออ่านบทความของเดล คาร์เนกี แล้วถึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า โซเชียลมีเดียนี่คือเครื่องขยายผลของพลังที่เดล พูดถึง คือการยกย่องสรรเสริญผู้อื่นด้วยความสุจริตและจริงใจ เป็นการใช้เครื่องมือที่ทรงพลังนี้อย่างที่ควรจะเป็น
เลยอยากจะชวนให้ลองใช้เครื่องมือนี้ในมุมนี้กันบ้างนะครับ ชอบใคร นับถือใคร ประทับใจใครในทางที่ดีก็เขียนบนโซเชียลโดยไม่ต้องคิดมาก ประทับใจมากก็เขียนยาวๆเลย แต่โมโหใคร เกลียดใคร ถากถางใคร ทะเลาะกะใคร ก็อย่าเพิ่งเขียน ต่อให้เวลาผ่านไปก็อย่าเพิ่งเขียน ผ่านไปซักปีถ้าทนไม่ไหวจริงๆก็เขียนแล้วตั้งให้เห็นแค่ only me ก็น่าจะพอ
..น่าจะเป็นวิธีการใช้โซเชียล ที่ถ้าเดลยังมีชีวิตอยู่ผมก็เดาว่าเดลคงจะแนะนำเราแบบนี้เหมือนกันนะครับ.
โฆษณา