12 เม.ย. เวลา 11:27 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

ครบรอบ 50 ปี "Ultraman Leo" เสียงคำรามและความบ้าคลั่งแห่งราชสีห์

“ดุเดือด ดิบเถื่อน บ้าคลั่ง!”
ยุคนั้นยังไม่เคยเจออุลตร้าแมนคนไหน
ที่สวมวิญญาณนักสู้ ถอดหัวใจ
พุ่งเข้าซัดใส่สัตว์ประหลาด
แบบไม่คิดชีวิตขนาดนี้มาก่อน
ในวันที่มหานครโตเกียว
กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยอันตราย
ฟ้าครึ้ม ฝนกระหน่ำ คลื่นซัดสาด
สัตว์ร้ายฝาแฝดออกอาละวาด
โดยมีเอเลี่ยนแม็กม่าที่ร้ายยิ่งกว่า
คอยบงการอยู่เบื้องหลัง
จนยอดนักรบอย่าง “Ultra Seven” พลาดพลั้ง
เสียท่า ขาหัก บาดเจ็บสาหัส หมดทางสู้
ก็ได้มีฮีโร่คนใหม่ปรากฎกาย
บินฝ่าเมฆดำทมิฬออกมาช่วย
บุกเข้าโรมรันสองสัตว์ร้ายอย่างบ้าระห่ำ
กระหน่ำเพลงหมัด เตะ ศอก อัดใส่
พร้อมแววตาอันเกรี้ยวกราด
และเสียงคำราม “ฮีย่าาห์!!”
ราวกับจะบอกว่าข้าจะไม่ให้ใคร
มารุกรานดาวบ้านเกิดอันเป็นที่รักอีกแล้ว!
ซึ่งในวาระครบรอบ 50 ปีนี้
อยากจะชวนทุกคนมาย้อน
ความทรงจำระหว่างทางกันอีกครั้ง
รวบรวมลมปราณทั้งหมดให้มั่น
กวัดแกว่งท่วงท่า เหวี่ยงหมัด
พร้อมแหวนราชสีห์ในมือที่ส่องประกาย
แล้วแปลงร่าง “เลโอ!!!” พุ่งออกไปปกป้องโลกกัน
และนี่คือแก่นสำคัญที่ผมได้จากซีรีส์นี้ครับ
.
.
.
1. “การฝึกหนัก” ทำให้เราเติบโต
- สิ่งที่เป็นภาพจำที่สุดของซีรีส์เลโอคือ “Otori Gen (โอโตริ เก็น)” ที่ต้องเจอกับการฝึกฝนสุดหฤโหดจาก “Moroboshi Dan (โมโรโบชิ ดัน)” หรือ Seven ผู้เป็นทั้งรุ่นพี่ หัวหน้าและอาจารย์ ด้วยความที่เก็นมีนิสัยเลือดร้อน มุทะลุ ตามประสาวัยหนุ่ม เลยมักจะพลาดท่าแพ้อยู่บ่อยๆ เซเว่นที่ไม่อาจแปลงร่างได้แล้วจึงต้องเคี่ยวกรำเขาอย่างหนักหน่วง
Leo จึงเหมือนคนที่ต้องต่อสู้ตลอดเวลา ทั้งการสู้กับสัตว์ประหลาด และการ “สู้กับตัวเอง” ระหว่างการฝึกแบบเกินคน ทั้งเจอไม้เท้าฟาด รถชน ตัดน้ำตก พร้อมสารพัดคำดูถูกก่นด่า “เจ้าโง่ ไอ้โง่ โง่จริงๆ” รวมทั้งอีกสารพัดความเจ็บปวดที่เข้ามาทุกรูปแบบทั้งกายใจ ทำยังไงไม่ให้ว่อกแว่ก ท้อถอย ล้มเลิก หรือกินหัวผู้ฝึกไปซะก่อน นี่แหละคือบททดสอบ
ก่อนจะพิสูจน์ด้วยความมานะ บากบั่น อดทนกับมันอย่างถึงที่สุด ล้มลุกคลุกคลานเพียงใด ร่างแทบแตกสลายแค่ไหนก็จะปาดเหงื่อ เช็ดเลือดแล้วลุกขึ้นมาใหม่จนกว่าจะได้ แพ้มาก็ยอมรับแต่ไม่เคยยอมแพ้ ทุกครั้งเวลากลับไปสู้ใหม่ก็จะรับมืออีกฝ่ายได้ดีกว่าเดิมจนพลิกชนะได้ในที่สุด
2. คุณค่าแห่ง “มิตรภาพ” ต่างวัย
- หากมองภายนอก “โมโรโบชิดัน (Seven)” อาจดูเป็นครูใจร้ายที่ฝึกกะเอาตาย ซ้ำยังด่าจุกๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเป็นเราคงไม่เผาผี แยกย้ายกันไปนานแล้ว แต่ถ้ามองในรายละเอียดจริงๆ จะพบว่า Seven นี่แหละที่รักและเป็นห่วงเป็นใย Leo ที่สุด เสมือนเป็นทั้งลูกศิษย์และน้องชายคนหนึ่ง แม้จะมาจากกลุ่มดาวคนละที่ก็ตาม
“ฉันคือตะวันที่กำลังจะลาลับ ส่วนนายคือตะวันที่กำลังจะสาดแสงขึ้นฟ้า”
โมโรโบชิ ดัน
ประโยคนี้ตั้งแต่ช่วงแรกที่พบกัน คือสิ่งที่แสดงถึงความเชื่อมั่น ศรัทธาอย่างแรงกล้าจากรุ่นสู่รุ่น จากคนที่เคยมีประสบการณ์ปกป้องโลกมาก่อน ตัดสินใจพลาดมาก็เคยอยู่ รู้ดีว่ารสชาติของความเจ็บปวดและความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของนักรบแห่งแสงมันเป็นยังไง เขาเลยไม่อยากเห็นใครพลาดแบบนั้นอีก ยิ่งกับ Leo ที่เพิ่งรอดชีวิตจากเหตุการณ์หมู่ดาว L77 บ้านเกิดถูกทำลายมา ยิ่งเลือดร้อนแบบนี้มีแต่จะพาตัวเองไปตายเปล่าซ้ำรอยเดิม
ตลอดเวลาจึงเป็นเขานี่แหละที่ต้องทนเหนื่อยหนักกับการฝึกสอนลูกศิษย์-ลูกน้องจอมพยศคนนี้ให้เชื่อฟังและเห็นภาพตาม เพราะหากประมาทพลาดท่ามาอีก ใช่ว่าจะโชคดีรอดชีวิตไปได้ตลอด หนักกว่านั้นคือชะตาชีวิตหน่วย MAC และชาวโลกอาจสูญสิ้นตาม L77 ไปอีก
ฉะนั้นนายคือความหวังเดียวของพวกเรา จงอดทน เข้มแข็ง และเติบโตขึ้นให้ได้! หรือวันที่ Leo หลงทาง เสียเหลี่ยมโดน “Alien Babarue” ปลอมตัวเป็น “Astra” น้องชายขโมย Ultra Key ไป จนเปิดศึกใหญ่กับพี่น้องอุลตร้า ทำเอาโลกเกือบพินาศวายวอด ก็เป็น Seven ที่พยายามเรียกสติเขามาให้ได้ (แม้จะไม่ได้ผล) (ยังดีที่ Ultraman King ช่วยให้ตาสว่าง)
ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่า Leo มี Seven คอยเคียงข้างเตือนสติ ถึงจะดุด่าแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ฝึกจนได้ดี กลับมาคว้าชัย พร้อมปกป้องโลกได้อีก ก็เป็นอาจารย์คนนี้นี่แหละที่ยิ้มรับ ร่วมยินดี ชื่นชมและภูมิใจกับเขาอย่างดีที่สุด ไม่ได้มีแค่พระเดช แต่มีพระคุณคอยหนุนนำจากใจจริงๆ ซึ่ง Leo ก็ได้ส่งต่อจิตวิญญาณที่ว่านี้ไปให้นักรบรุ่นหลังอย่าง Ultraman Mebius และ Zero ได้เป็นอย่างดี
3. ไม่ต้องเหมือนใคร ก็เป็นที่จดจำได้ “ในแบบตัวเอง”
- แม้ Leo จะไม่ได้มีจุดเด่นที่การใช้ลำแสงเป็นไม้ตายเหมือนอุลตร้าแมนคนอื่นๆ คือมีท่าที่เป็นลำแสงใช้เห็นบ้าง จากก่อนหน้าก็มีให้เห็นการใช้ลำแสงบ้าง ทั้ง “Shooting Beam” ที่ระเบิดพลังออกไปทั้งสองแขน และ “Ultra Double Flasher” ที่ประสานพลังกับ Astra น้องชาย รวมถึงท่าลำแสงอีกประปลาย ที่เขาใช้สู้ศึก คลี่คลายสถานการณ์ และช่วยน้องชายตัวจริงออกมาจากการกักขังของ Alien Babarue
ซึ่งนอกจากท่าประสานพี่น้อง แสงอื่นๆ นับว่ายังไม่ใช่ภาพจำเท่าไหร่นัก
แต่ Leo ก็สร้างเอกลักษณ์ตัวเองให้เป็นที่จดจำได้มากกว่านั้น ด้วยการใช้ศิลปะการต่อสู้อันฉกาจฉกรรย์แนวยูโด-คาราเต้ เวลาสู้ก็ออกกระบวนท่าเพลง หมัด เตะ ศอก สับ ควงกระบี่กระบอง
หรือจับทุ่ม พุ่งเข้าฟัดซัดใส่สัตว์ประหลาดอย่างเต็มที่ บดขยี้อีกฝ่ายจนไส้ทะลักกันไปข้าง สอดคล้องกับในยุคนั้นที่ศิลปะการต่อสู้กำลังบูม รวมถึง “Leo Kick” ท่าไม้ตาย Signature ที่กระโดดสูงลิบ พร้อมระดมพลังทั้งหมดไปไว้ที่ขาจนแดงฉาน ไฟลุก และพุ่งเข้าถีบศัตรูอย่างเต็มกำลัง ตายคาที่
อีกทั้งยังเป็นคนเดียวที่ “Ultraman King” ลงมาช่วยพร้อมร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ก่อนจะมอบ “Arm Bracelet “ อาวุธสารพัดประโยชน์ไว้ให้ตรงแขนซ้าย
ตัวตนทุกอย่างที่เป็น ทำให้ไม่ว่าเขาจะไปปรากฎตัวในซีรีส์รุ่นน้อง รุ่นหลานคนไหน Leo ก็ยังคงไว้ซึ่งลายเซ็นตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เปี่ยมด้วยออร่าความน่าเกรงขาม ชี้นิ้วจ่อหน้าอีกฝ่ายพร้อมลุยไม่ยั้ง ถึงไม่ถนัดลำแสง หรืออยู่บนโลกได้แค่ 2.40 นาที เขาก็เป็นที่จดจำในใจแฟนๆ อุลตร้าแมนมาทุกยุคทุกสมัย
นับเป็นซีรีส์ที่เต็มไปด้วยภาพจำมากมาย
ทั้งความดาร์ค ดิบ เอาจริงเอาจังขึ้นในเนื้อหา
อุลตร้าแมนร่างแหลกเป็นชิ้นๆ
หน่วยพิทักษ์โลกตายยกทีม
(ยกเว้นศิษย์-อาจารย์)
ทั้งตัวอย่างของพระเอกที่
กว่าจะเก่งได้ขนาดนี้ก็ผ่านอะไรมามาก
รวมถึงเพลงประกอบที่มีถึง 2 เพลง
คือเพลง “Ultraman Leo” ใช้ใน Ep.1-13
และ “Tatakae! Ultraman Leo” ที่ใช้ใน Ep.14-จบ
เสมือนทุกสิ่งทุกอย่างยังคงโลดแล่น
ระอุดุเดือดอยู่ในห้วงความทรงจำ
ดีใจทุกครั้งเวลาเห็นเขากลับมา
จะกี่ปีกี่ช่วงเวลาก็ยังตราตรึงไม่เปลี่ยนแปลง!
โฆษณา