13 เม.ย. เวลา 04:04 • ความคิดเห็น

หลานม่า

ผมเพิ่งไปดูหนังเรื่องหลานม่ามาเมื่อวาน นอกจากเรื่องราวที่กินใจและทำออกมาได้ดีมากๆ จนคนร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจทั้งโรง รวมถึงลูกสาวคนเล็กผมที่ร้องไห้ตั้งแต่เริ่มเรื่องแล้ว ก็ยังพาผมย้อนอดีตไปไกลโพ้นด้วยความคุ้นเคยด้วยความเป็นลูกหลานแต้จิ๋ว อาม่าขื่อติกก่อ เจี่ยะปึ่งบ๋วย แล้วใครพอพูดแต้จิ๋วเร็วๆ ใส่ก็จะปิดด้วยประโยคคลาสสิคว่าโอ่ยเทียโบ่ยต่า แล้วก็เดินยิ้มๆหนีไป
4
สมัยเด็กๆก็ไปบ้านอาม่ากินข้าวครอบครัวใหญ่วันอาทิตย์ ภาพของฮวงซุ้ย อากาศร้อนๆ โปรยกระดาษสี เพลงอ่องกิมก๊อง กิมก๋องจ้อเหล่าเต ต่างๆ เหล่านี้ก็ทำให้ความทรงจำในวัยเยาว์ปรากฏมาชัดเจนขึ้น ยิ่งผมเป็นหลานคนโตของอาม่าและได้อยู่กับอาม่าในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ก็ยิ่งทำให้อินกับหนังเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวขึ้นไปอีก จนคิดว่าเคลิ้มๆ ว่าตัวเองก็คือบิวกิ้นในหนังอยู่แว้บๆเหมือนกัน
8
และถ้าผมจะมีหนังหลานม่าเวอร์ชั่นตัวเอง ก็คงจะต้องมีฉากสำคัญที่อาม่าผมสอนผมแบบไม่ได้สอนอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมอยู่รอดปลอดภัยไม่ติดหนี้สินรุงรังเหมือนกับกู๋โส่ยในหนังได้ ก็น่าจะเป็นฉากนี้…
งานแรกในไทยของผมเมื่อปี 1993 คืองานที่บริษัทหลักทรัพย์เอกธำรง ช่วงนั้นเป็นยุคเฟื่องฟูหรือฟองสบู่ของตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์พุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องเหมือนไม่มีวันลง
2
บริษัทหลักทรัพย์ที่ผมอยู่ได้โบนัสกันอย่างอู้ฟู่ ข่าววงใน ข่าวลือ ข่าวปั่นมีได้ยินทุกวัน วันละหลายข่าว ยิ่งทำงานอยู่ในจุดศูนย์กลางของตลาดหุ้นด้วยแล้ว ข่าวจากเพื่อนฝูงในวงการก็ยิ่งมากแถมแม่นเอามากๆด้วย ซื้อตัวไหนก็ “ลิ่ง” กันง่ายๆ เงินทองหาง่ายจนแทบไม่เป็นอันทำงานกัน เที่ยงๆกินข้าวก็นั่งเม้าแล้วว่ามีข่าวอะไร เที่ยวไหนดีเพราะเงินหาง่ายเหลือเกิน
2
และก็เริ่มพูดเล่นกันแล้วว่าอีกหน่อยซื้อเกาะส่วนตัวกันได้แหงๆ พูดไปขำไป แต่ในใจก็คิดว่าทำไมเราโชคดีแบบนี้ รุ่นพ่อรุ่นแม่เราทำงานหลายสิบปีกว่าจะได้บ้านหลังนึง เรานี่อีกปีสองปีก็ได้บ้านแน่ๆ ใจพองฟูกันถ้วนหน้า
ขนาดผมเรียกว่าเป็นพวกปลายแถว เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นล่างๆ เงินเดือนไม่ถึงสองหมื่น ไม่ถึงปีผมก็เล่นหุ้นได้เงินล้าน ไม่พูดถึงระดับพี่ๆผู้บริหารที่ถอยรถใหม่กันเป็นว่าเล่น พอจับเงินล้านแล้วเห็นพี่ๆมีกันเป็นสิบเป็นร้อยล้าน ใจหนุ่มวัยฉกรรจ์มันก็ร้อนรุ่มอยากไปเร็วกว่านั้นอีก
2
ตัวเองไม่รู้จะเร่งเงินในโตกว่านี้ได้ยังไงมีเท่าไหร่ก็ใส่หมดอยู่แล้ว ก็คิดการณ์ใหญ่ไปยืมเงินอาม่ามาอีกเกือบล้าน แถมไปโม้ให้น้องสาวสองคนที่ยังเรียนหนังสือฟังว่าเฮียนี่เก่ง อยู่ในวงการหุ้นที่มีข้อมูลเยอะ ทำเงินได้ง่ายๆ จนน้องสาวทุบกระปุกมาลงอีกคนละสองแสน ช่วงแรกก็ยังทำเงินได้ตามที่คุยโม้โดยไม่ยากนัก
4
วันหนึ่งนั่งกินข้าวกะอาม่า ผมก็โม้ให้อาม่าฟังว่าเงินที่อาม่าให้มาเนี่ยได้มาอีกเกือบเท่าแล้วนะ อาม่าก็ดูนิ่งๆ และด้วยความเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นโลกมามาก คงพอเข้าใจว่าไม่มีอะไรที่มันง่ายขนาดนี้แล้วจะง่ายไปตลอดและคงเห็นคนเล่นการพนันมาก็เยอะ หน้าดำคล้ำของผมก็คงเหมือนคนติดการพนันอยู่ไม่น้อย อาม่าก็พูดแค่ว่า เออ กำไรก็เลิกเถอะนะ..
8
เป็นโมเม้นท์ที่ผมนึกทีไรก็เสียใจทุกที เพราะด้วยอีโก้ที่คับพองแต่ความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้ผมโมโหอาม่าที่ไม่เข้าใจโลกสมัยใหม่เอาซะเลย มันไม่ใช่แบบที่อาม่ามีความรู้ซักหน่อย จำได้ว่าผมพูดสะบัดใส่อาม่าว่า อาม่าไม่รู้เรื่องหรอก มันไม่ใช่แบบที่อาม่าคิด แล้วก็ไม่พูดกับอาม่าเรื่องนี้อีก
2
อีกไม่นานก็อย่างที่ทุกคนรู้เรื่องฟองสบู่แตกในปี 1997 หุ้นหลายร้อยบาทเหลือกันบาทสองบาทหรือศูนย์ก็มี ข่าวผู้คนหมดตัว กู้หนี้ยืมสินมาลงหุ้นแล้วหายหมดกลายเป็นหนี้ก้อนโต มีตกอับ มียิงตัวตาย ผมเองก็สภาพไม่ต่างกัน เงินตัวเองก็หมด ที่กดดันที่สุดก็คือเงินของอาม่าและน้องสาวซึ่งต่อให้เขาไม่พูดอะไร ความรู้สึกผิดก็มีอยู่เต็มหัวใจ
ตอนนั้นผมเงินเดือนสองหมื่น ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะหาเงินมาคืนอาม่ากับน้องได้ อนาคตดูมืดมนอนธกาลเหลือเกิน นี่ขนาดผมเป็นตัวเล็กๆ และเจ็บไม่มากเท่าคนอื่นก็ยังรู้ซึ้งถึงพิษฟองสบู่ที่เจ็บและจำมาจนวันนี้
3
บทเรียนวันนั้นทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองและวิธีการลงทุนของผมใหม่หมด
ประการแรกคือผมจะไม่กู้หนี้ยืมสินใครมาลงทุนโดยเด็ดขาด
1
ประการที่สอง ถ้าผมไม่รู้เรื่องไหนจริงๆ ก็จะใช้วิธีให้มืออาชีพบริหารจัดการผ่านกองทุน พี่เตา บรรยง พงษ์พานิชแห่งภัทร กระบี่มือหนึ่งแห่งตลาดทุนไทยก็แนะนำว่าให้ลงทุนในกองทุนแทนที่จะเล่นเองเพราะเราไม่มีทั้งข้อมูลและไม่มีเวลามานั่งเฝ้าแถมไม่มี scale ในการลงทุน พี่เตาเองไม่เคยเล่นหุ้นด้วยซ้ำ ผมก็ใช้วิธีนี้ในการเก็บหอมรอมริบอยู่
7
ส่วนประการที่สาม ผมใช้หลัก “บ่วงอิก” ของคุณไกรสร จันศิริแห่ง TUF ที่ใช้สอนลูกหลานว่า ต่อให้มีความเสี่ยงแม้หนึ่งในหมื่น แต่ถ้ามีโอกาสแม้แต่นิดที่จะหมดตัวได้ก็ห้ามทำ ไม่ว่าจะมั่นใจอะไรแค่ไหน ผมก็ไม่เคยใส่จนหมดแมกอีก ส่วนประการสุดท้ายก็เป็นการเล่นจริงเจ็บจริงที่ได้บทเรียนจากคำพูดอาม่าในครั้งนั้น พอได้กำไรตามที่ตั้งเป้าไว้ ผมก็จะขายทำกำไรโดยไม่ลังเลและไม่หันกลับไปดูหุ้นตัวนั้นอีก อาจจะทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่พอนึกได้ก็จะทำ
6
บทเรียนเหล่านี้เป็นบทเรียนล้ำค่าที่ได้จากการบาดเจ็บสาหัสจากฟองสบู่ในครั้งนั้น คำพูดของอาม่าที่บอกว่ากำไรแล้วก็เลิกเถอะ ทำให้ผมที่เจ็บเร็วตั้งแต่อายุยังไม่มาก ก็สามารถตั้งหลักได้ กำไรแล้วก็เลิกได้หลายครั้งหลังจากนั้น จนพอลืมตาอ้าปากได้ในวันนี้
2
ให้บิวกิ้นแสดงเป็นผมในฐานะหลานม่าเวอร์ชั่นนี้ ก็น่าจะเข้าถึงอารมณ์และมีความคลับคล้ายคลับคลากันอยู่ ก็น่าจะเข้าทีไม่น้อยเลยนะครับ
7
โฆษณา