17 เม.ย. เวลา 14:20 • ไลฟ์สไตล์

ตัวตนกู มันมีอยู่จริง (ep2)

ปริศนาพระสูตร?
? “โลกเขาตั้งแต่งไว้อยู่ก่อนเรา เราจึงมาอาศัยอยู่กับด้วยลมจิตใจ ณ.กาลภายหลัง”
? “ลมนั้นหนาได้เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์”
“ตัวเลข” คือคณิตศาสตร์ ต้องคิดอย่างคณิศาสตร์เท่านั้นเราจึงจะรู้ว่า มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลมเกิดตัวเลขขึ้นมาได้ นั้นก็คือ ความเร็วลม
ตัวเลขเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์ จึงเป็นตัวเลขของลมหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วมหาศาล สิบห้าล้านสี่หมื่นกิโลเมตรต่อเศษเสี้ยวของวินาที (1โยชน์=16กิโลเมตร) เร็วกว่าความเร็วแสงมากมายมหาศาลจนเกิดค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่
เพราะมีจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดของวงรอบเป็นจุดเดียวกัน เกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน
จึงเป็นจุดเชื่อมต่อมิติคู่ขนานให้เกิดการแลกเปลี่ยนถ่ายเทพลังงานกันไปๆมาๆระหว่างคู่ขนาน
ค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์ จึงเป็นเหตุให้เกิดแหล่งพลังงานคลื่นวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แผ่กระจายรัศมีคลื่นวงแหวนกว้างไกลออกไปมากมายมหาศาล มีค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ เช่นกัน
เราจึงสังเกตร่องรอยค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้จากลายเส้นวงแหวนบนปลายนิ้วมือนิ้วเท้าทั้งสิบนิ้วของเรา เพราะเป็นส่วนแรกที่ถูกผลักดันให้ขยายตัวออกจากด้านข้างของไข่ทรงกลมฟองเล็กๆ
กับลายเส้นวงโคจรของดาวเคราะห์บริวารต่างๆวนรอบจุดศูนย์กลางที่มีค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ เช่นกัน
ค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกนิ่งๆอยู่กับที่ ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะภายในร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวและแรงสั่นสะเทือนดังโรงงานขนาดใหญ่
และไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของโลกที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วมากๆทั้งยังเด่งหน้าเด่งหลังโยกซ้ายโยกขวา ดั่งทุ่นที่ลอยอยู่กลางทะเล
ค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์ จึงเป็นค่าที่ทำให้อุโมงค์รูหนอนที่ยาวไกลแสนไกลมากมายมหาศาล เป็นเพียงแผ่นม่านมิติแผ่นบางๆเท่านั้น
แล้วคำว่า “เรา” ก็คือแผ่นม่านมิติแผ่นบางๆนั้น
เราจึงสังเกตรูหนอนของตนเองได้จากการเฝ้ามอง เพ่งมอง และเหม่อมองภาพนึกคิดจินตนาการในหัวของเรา
เมื่อเราเฝ้ามองจะรู้สึกว่าตัวภาพมันอยู่ไกล มันก็ไกลแสนไกล
แต่เมื่อเพ่งมองจะรู้สึกว่าตัวภาพมันอยู่ใกล้ มันก็ใกล้แสนใกล้เหมือนมีม่านบางๆมาขวางกั้นเท่านั้น
ยิ่งถ้าเหม่อมองจนเกิดอาการเหม่อลอย ก็ยิ่งต้องมีสติฉุดถึง เดียวเขาจะว่าเราเป็นบ้าชี้มือชี้ไม้พูดคุยอยู่คนเดียว อาการเหม่อลอยของเราจึงเป็นอาการก่ำกึ่งระหว่างกลางคู่ขนาน เพราะโดนแรงดึงดูดของตัวภาพดึงดูดเข้าไปภายในตัวภาพ
ระบบสมองจึงต้องดึงกลับอยู่เสมอ เพราะอาจเกิดอันตรายถึงกับชีวิตได้ขณะเหม่อมอง
และบ่อยครั้งที่เรามักเกิดความรู้สึกลึกๆเหมือนมั่นใจ เราสามารถเข้าไปเสวยสุขภายในจินตนาการของตนเองได้ โดยเฉพาะขณะเกิดอารมณ์ช่วยเหลือตัวเอง ทำไมเราจึงรู้สึกเช่นนั้น เป็นเพราะอะไร?
ถ้าชีวิตของเราไม่มีรูหนอน มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างตัวอสุจิกับไข่ จึงมีเซลล์ผลุดๆโผล่ๆเข้ามาภายในไข่มากมาย ผลักดันไข่ให้พองตัวขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นมา เซลล์แต่ละเซลล์โผล่มามากมายมหาศาลเหล่านั้นมันมาจากไหน
เมื่อถึงจุดอิ่มตัวก็เกิดแรงดึงดูดแลกเปลี่ยนกับพลังงานของผู้เป็นแม่ ต่อมาก็น้ำนมแม่ และต่อมาก็อาหารจากมือแม่
จนในที่สุดหากินเองเพื่อแลกเปลี่ยนกับเซลล์ผลุดๆโผล่ๆเข้ามาในร่างกายจนใหญ่โต รูปร่างกายของเราจึงมีความยืดหยุ่น นุ่ม นิ่ม มีแรงดันไม่ยุบตัว
เพราะเซลล์แต่ละเซลล์ถือกำเนิดจากแรงดันมหาศาล
เมื่อไข่ฟองเล็กๆเติบใหญ่ก็เกิดการมองเห็นมิติคู่ขนานสองด้าน ระหว่างมองออกไปภายนอกตัวตน กับมองเข้าไปภายในตัวตน แล้วภาพต่างๆภายในตัวตนก็มีความละเอียดคมชัดเหมือนจริงกับภาพภายนอก
ดั่งก๊อปปี้ภาพกันมาด้วยแสง ดั่งเช่น แสงที่เข้าไปภายในตัวกล้อง ภายในตัวกล้องก็เกิดภาพเดียวกันกับภายนอก
จึงสงสัย แสงที่มีภาพเหตุการณ์จากภายนอกเข้าตาดำเราไป มันไปไหนต่อ
เมื่อมีทางเข้าของแสง ก็ต้องมีทางออกของแสง ไม่ใช่รึ
เมื่อไข่ฟองเล็กๆนั้นตาย ภาพนึกคิดจินตนาการต่างๆภายในไข่ฟองเล็กๆนั้น จะยังคงมีอยู่ไหม?
พระพุทธเจ้าประกาศตนเป็นผู้ค้นพบเส้นทางสายกลางระหว่างโลกคู่ขนาน โลกียะกับโลกุตระจากการนั่งนิ่งๆอยู่กับที่
การค้นพบอุโมงค์ลมเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์และตัวเลขต่างๆที่พระพุทธเจ้าบอกกับเรามา
ล้วนเป็นการค้นพบสิ่งที่อยู่ภายในหัวของตัวเองทั้งสิ้น
ไม่ได้ลุกเดินวิ่งไปค้นพบกับสิ่งที่อยู่นอกหัวของตัวเอง
ถ้าลมจิตใจหรือลมเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์ เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนอยู่จริง
มันจะมี “ตัวเลข” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น อุโมงค์ดวงตาที่กำลังเฝ้ามองภาพนึกคิดอยู่ในหัวของเรา
จึงเป็นอัตตามีตัวตนอยู่จริง และเป็นสิ่งที่ไม่ตาย
รูปร่างกายที่เรากำลังเป็นอยู่นี้ต่างหาก ที่เป็นอนัตตา
ไม่มีตัวตนอยู่จริง
โปรดติดตามตอนต่อไป..
!
โฆษณา