18 เม.ย. เวลา 00:09 • ธุรกิจ

การปรับตัวที่ช้าไป กับความยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นอดีตของ MSN Messenger

เริ่มแรกที่เรารู้จัก MSN Messenger นั้นต้องนับย้อนไปตั้งแต่การถือกำเนิดของแพลตฟอร์มนี้ในปี 1999 และ ในภายหลังได้ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็น Windows Live Messenger ซึ่งอดีตยักษ์ใหญ่แห่งบริการส่งข้อความถูกปิดฉากบริการไปในวันที่ 31 ตุลาคม 2014 และคุณอาจสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
MSN Messenger ได้แข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านการส่งข้อความอื่น ๆ ในยุคบุกเบิก ซึ่งได้แก่ ICQ, AOL AIM และ Yahoo!
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 และในช่วงกลางของการเปิดตัว Windows 95 ที่ทำให้ Microsoft เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ครั้งแรกนั่นคือกระแสความนิยมของอินเทอร์เน็ตในบ้าน
ยักษ์ใหญ่แห่ง Redmond กำลังจะปล่อยระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง Windows 95 และในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น Bill Gates ได้ส่งบันทึกให้ทีมผู้บริหารของเขาซึ่งกลายเป็นเอกสารที่มีความหมายมากสำหรับสถานการณ์ของ Microsoft ในขณะนั้น
เอกสารดังกล่าวมีชื่อว่า“ The Tidal Wave” ที่กล่าวถึง ความสำคัญของการพัฒนาอินเทอร์เน็ตสำหรับบริษัทในยุคต่อไป
1
ใจความสำคัญของเอกสารก็คือ Bill Gates ให้ความสำคัญสูงสุดกับอินเทอร์เน็ต ในบันทึกนี้ Gates ต้องการทำให้ชัดเจนว่าการให้ความสำคัญกับอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจของ Microsoft ในทุก ๆ ส่วน
อินเทอร์เน็ตเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ IBM เปิดตัวพีซีเครื่องแรกในปี 1981 มันสำคัญยิ่งกว่าการมาถึงของส่วนต่อประสานกราฟิกผู้ใช้ (GUI) เสียอีก
Gates ตกใจกับภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่มีต่อธุรกิจของเขา เขาพิจารณาว่า Microsoft ยังไม่พร้อมสำหรับการมาถึงของอินเทอร์เน็ต และซอฟต์แวร์หลักของ Microsoft ในยุคนั้น ซึ่งก็คือ Internet Explorer และ MSN ยังไม่พร้อมให้บริการ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สามารถผลักดันมันออกมาได้พร้อมกับ Windows 95 ในวันเปิดตัวได้แบบฉิวเฉียด
ในเวลานั้นอินเทอร์เน็ตถูกลดขนาดให้เหมาะกับสิ่งที่บริษัทอย่าง AOL หรือ Microsoft ที่มี MSN เสนอบนพอร์ทัลของพวกเขา การรวม MSN เข้ากับ Windows 95 เป็นการกระทำที่นำปัญหาทางกฎหมายมาสู่ Microsoft เนื่องจากคู่แข่งกล่าวหาว่าเขากำลังผูกขาดตลาดในทางที่ผิด
AOL (America OnLine) เป็นรายแรกที่เปิดตัวบริการ AIM (AOL Instant Messenger) ในปี 1997 ซึ่งทันทีที่ผู้ใช้เริ่มเข้ามาใช้บริการนี้มันก็ดังกระฉูดแทบจะทันที แทบจะทุกบ้านของชาวอเมริกันที่ใช้อินเทอร์เน็ตต้องมีบริการของ AIM
เนื่องจากความนิยมของคู่แข่ง Microsoft จึงเปิดตัว Client การส่งข้อความของตัวเองในปี 1999 MSN Messenger ถือกำเนิดขึ้นเป็นบริการแรกที่มีรายชื่อผู้ติดต่อ และบริการส่งข้อความผ่านออนไลน์
ตั้งแต่ต้น MSN Messenger ต้องการเสนอความเป็นไปได้ในการแชทกับผู้ใช้บริการส่งข้อความอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีการเปิดตัว พวกเขาก็ได้ทำให้มันสามารถเข้ากันได้กับเครือข่ายของ AIM ซึ่งทำให้ AOL ไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นที่มาของการเริ่มเปิดสงครามระหว่างบริการทั้งสอง
2
เมื่อใดก็ตามที่ Microsoft เปิดใช้งานการสื่อสารนี้ AIM จะแก้ไขรหัสเพื่อยืนยันว่าลูกค้าสื่อสารกับลูกค้า AIM ได้เพียงเท่านั้น และ block บริการจากทางฝั่งของ MSN Messenger ซึ่งในที่สุด Microsoft ได้ละทิ้งในความพยายามที่จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ AIM
ทุกคนที่เป็นวัยรุ่นในช่วงยุคทองของ MSN Messenger จะจดจำความสำคัญของโปรแกรมนี้ ทันทีที่คุณกลับถึงบ้านคุณจะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้วเปิดโปรแกรมแชทกับเพื่อนที่โรงเรียนด้วย “ Messenger” แทนที่การโทรไปยังโทรศัพท์พื้นฐานซึ่ง MSN Messenger นั้นจะให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า
MSN Messenger ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นมาก ๆ ในยุคนั้น (CR:CNBC)
MSN Messenger เริ่มที่จะรวมฟังก์ชั่นการใช้งานซึ่งเป็นพื้นฐานของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้แต่ละคนมีแถบสถานะที่เขาสามารถแสดงข้อความส่วนตัวได้ มันเป็นต้นแบบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ Facebook ประสบความสำเร็จในทุกวันนี้
นอกจากนี้ปุ่มสถานะยังได้รับความนิยมอย่างมากซึ่งคุณสามารถบอกผู้ติดต่อของคุณได้อย่างรวดเร็วว่า คุณว่าง ไม่ว่าง หรือออฟไลน์อยู่ หรือการตั้งค่าให้มองไม่เห็น ดังนั้นไม่มีใครจะรบกวนคุณได้ผ่าน MSN Messenger
ฟังก์ชั่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนมีการสร้างเว็บไซต์ที่อนุญาตให้รู้สถานะของผู้ใช้แต่ละรายหากมีอีเมลของเขาหรือแม้กระทั่งรู้ว่าเพื่อนมีการบล็อกคุณหรือไม่
เมื่อถึงสิ้นปี 2005 MSN Messenger ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Windows Live Messenger การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริการรับส่งข้อความโดยเฉพาะตลาดนอกสหรัฐฯที่ AIM ยังคงเป็นผู้นำ และจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายบริการนี้อย่างรวดเร็วมาก ๆ จนทำให้บริษัท Tencent ตัดสินใจที่จะสร้างบริการส่งข้อความ QQ ของตัวเองออกมา
2
บริการส่งข้อความมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด : เพื่อให้บริการของตนเองดียิ่งขึ้นแต่ละแพลตฟอร์มจึงมีค่าใช้จ่ายสูงในการบำรุงรักษา แต่ในตอนนั้นมันยังไม่สามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเอง และนั่นคือในยุคที่บริการส่งข้อความเป็นเพียงแค่ตัวช่วยให้สมาชิกของบริการอินเทอร์เน็ตภายในพอร์ทัลของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเพียงเท่านั้น ในยุคนั้นพวกเขาไม่ได้มองถึง Business Model รูปแบบอื่น ๆ เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
1
Business Model ที่เพียงแค่เพิ่มฐานสมาชิกในเว๊บพอร์ทัลหลักเท่านั้น (CR:AOL)
เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนมิถุนายน 2009 MSN Messenger ก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดมีผู้ใช้งานถึง 330 ล้านคนต่อเดือน แต่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อเรากำลังเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟน
แนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้นกำลังเข้ามากลืนกินเครือข่ายการส่งข้อความ เช่น Windows Live Messenger แน่นอนว่า Facebook ไม่ได้เป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดียแห่งแรกที่ทำการเปิดตัว แต่เป็นบริการแรกที่ทำได้ดี และเข้าใจถึงเรื่องเครือข่ายสังคมอย่างแท้จริง
เมื่อเครือข่ายโซเชียลมีเดียของ Mark Zuckerberg คลายข้อจำกัดลงจากเดิมที่ Focus แค่กลุ่มผู้ใช้งานมหาลัยหลังจากเปิดให้ใช้งานกับกลุ่มผู้ใช้อื่น ๆ แบบอิสระมากขึ้น ก็ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่เริ่มที่จะหนีออกจาก MSN Messenger มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แท้จริงอย่าง Facebook
แต่สิ่งที่ทำให้ Windows Live Messenger ต้องจบชะตากรรมไป คือ การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟน แม้ว่า Microsoft จะไม่พลาดในคลื่นลูกใหม่นี้ และพยายามผลักดัน Windows Live Messenger ไปในทุก ๆ แพล็ตฟอร์มในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็น BlackBerry OS, Xbox 360, iOS, Java ME, Symbian หรือแม้แต่เครื่องเล่น mp3 Zune HD ของ Microsoft เอง แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
1
คู่แข่งอย่าง BlackBerry Messenger กลายเป็นผู้บุกเบิกในการส่งข้อความมือถือ แต่มันเป็นเช่นนั้นได้เพียงไม่นาน จนกระทั่งการปรากฏตัวขึ้นของ iPhone ในเดือนมกราคม 2007 การเปิดตัว App Store ในปี 2008 และความนิยมของ Android จากปี 2010 ทำให้ Windows Live Messenger ได้รับผลกระทบอย่างหนักมาก ๆ
Blackberry Messenger ที่กลายเป็นบริการยอดฮิตแรกในยุคของสมา์ทโฟน (CR:TechCrunch)
การล่มสลายของ Messenger สามารถตีความได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังในตลาดพีซี
เมื่อสถานการณ์ตลาดพีซีในขณะนั้นยอดขายกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการล่มสลายของ Windows Live Messenger เป็นเหมือนสัญญาณเตือน ที่กำลังบ่งชี้ว่าสมาร์ทโฟนกำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบเพื่อแทนที่การส่งข้อความแบบเดิม ๆ ผ่านพีซี นั่นเอง
สมาร์ทโฟนถือเป็นการปฏิวัติชนิดหนึ่ง มีบริษัทใหม่ ๆ ที่เริ่มสร้างบริการส่งข้อความบนแพล็ตฟอร์ม สมาร์ทโฟน ไม่วาจะเป็น WhatsApp, Telegram, Facebook Messenger, Line, WeChat และดูเหมือนว่าพวกเขาก็เข้าใจ Ecosystem ใน สมาร์ทโฟนได้ดีกว่าที่ Microsoft สามารถเข้าใจได้ในยุคนั้น
Windows Live Messenger ไม่สามารถกู้คืนสถานการณ์ที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องของยุค Post-PC และในท้ายที่สุด ในช่วงปลายปี 2012 Microsoft ประกาศการรวมบริการ Windows Live Messenger เข้ากับ Skype และในช่วงสิ้นปี 2013 ถือเป็นเป็นการปิดฉากอดีตที่ยิ่งใหญ่ของ Windows Live Messenger ไปในท้ายที่สุด
ต้องบอกว่าถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจของการไม่สามารถปรับตัวได้ เมื่อธุรกิจถูก Disrupt ซึ่งในยุคนั้นก็คือการเปลี่ยนผ่านจากยุค PC ไปยังยุคของสมาร์ทโฟนที่ดูเหมือน Microsoft นั้นจะปรับตัวช้าเกินไป ทั้งที่บริการอย่าง Windows Live Messenger มีผู้ใช้งานสูงสุดถึงกว่า 300 ล้านคนในยุคนั้น
ซึ่งตัวอย่างดังกล่าว มันแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แค่ไหนมีเงินมากมายขนาดไหน แต่ในยุค Disruption นั้น การเคลื่อนตัวที่ช้าอาจจะส่งผลให้ธุรกิจถึงคราวล่มสลายได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเลยทีเดียว เหมือนอย่างที่เราได้เห็นบทเรียนจาก MSN Messenger ในบทความนี้นั่นเองครับผม
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
1
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา