18 เม.ย. เวลา 15:36 • ไลฟ์สไตล์

ตัวตนกู มันมีอยู่จริง (ep3)

ตัวตนกู มันมีอยู่จริง (ep3)
ยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ตายแล้วฟื้น ยืนยันจุดเริ่มต้นชีวิตหลังความตาย เห็นตัวเองมีมุมมองจากด้านบนลงล่าง ต่างจากมุมมองทั่วๆไป
จึงทำให้เข้าใจว่าตนเองเป็นวิญญาณ ลอยตัวอยู่บนฝ้าเพดาน เฝ้ามองดูหมอกับพยาบาลกำลังยื้อชีวิตเขาอยู่ภายในห้องที่หมอได้ตระเตรียมทำการวิจัยเอาไว้
ต่อจากนั้นก็เห็นตัวเองเคลื่อนตัวไปในอุโมงค์มืดๆ มุ่งหน้าไปยังแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อสัมผัสกับแสงสว่างร่างกายก็รู้สึกตัวฟื้นจากความตายทันที
ปกติเราก็สลับด้านมองระหว่างภายนอกกับภายในตลอดทั้งวันอยู่แล้ว การมองเห็นสองด้านของรูหนอนจึงเป็นการสลับด้านมองระหว่างทางเข้าของแสง กับทางออกของแสงที่มีภาพเหตุการณ์ดั่งเช่นแสงฉายหนังออกมาด้วย
ภาพนึกคิดจินตนาการต่างๆที่เราเห็นอยู่ในหัวของเรา จึงเป็นภาพที่เกิดจากแสงดั่งเช่น แสงฉายหนัง
เมื่อเราเพ่งมองภาพภายนอก ไม่ได้หันไปมองภาพนึกคิด ภาพภายในดวงจิตจะเป็นภาพเดียวกันกับภายนอก
แต่เมื่อเราหันไปมองภาพนึกคิด ภาพภายในดวงจิตจะตอบสนองด้วยความเร็วกว่าแสงมากมายมหาศาล จนเราจับการเคลื่อนไหวขณะดวงจิตกำลังสร้างภาพตอบสนองความคิดไม่ได้ พอคิดปั๊บก็เห็นปุ๊บทันที
จึงมียี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ตายแล้วฟื้นเท่านั้น ที่ได้มีโอกาสเห็นรูหนอนกำลังก๊อปปี้ภาพเหตุการณ์ของโลก
ยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ตายแล้วฟื้น จึงตอบคำถามของหมอได้หมดจนทำให้หมอหวาดกลัว เขารู้เห็นได้อย่างไร ในขณะที่สมองตาย มันมีกิจกรรม มีความคิด และมีสัมผัสทั้งห้าได้อย่างไร
ผลงานวิจัยจึงทำให้วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ยอมรับสรุปว่า ความเป็นจริงเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจิตวิญญาณของตนเอง เพราะเราแยกไม่ออกว่าอันไหนคือสมองอันไหนคือจิต และชีวิตหลังความตายมันมีกิจกรรมอยู่จริง
จึงเป็นที่มาของคำว่า "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์"
ตรงข้ามกับนักวิปัสสนา เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้สัมผัสกับความรู้สึกถึงเส้นด้ายขาด หวาดเสียวกับความรู้สึกตกจากที่สูงมากๆ
จนหยุดนิ่งถึงได้เห็นแสงสว่างที่สวยงามเย็นสบายตา กับความรู้สึกที่เบา โล่ง โปร่งสบาย เหมือนมีตัวตนแต่มองไม่เห็นตัวตน เห็นแต่แสงสว่างกับความรู้สึกสุข อย่างเดียวเท่านั้น
จึงมีนักวิปัสสนาส่วนใหญ่สิ้นสุดการเดินทางเพียงแค่นี้ ระบบสมองก็ดึงกลับออกจากสมาธิโดยอัตโนมัติ เพราะมีอาการเช่นเดียวกับเหม่อลอย ต่างกันเพียงตำแหน่งของปลายอุโมงค์รูหนอนเท่านั้น
เหตุเพราะ "หลง" จนขาดสติ
จึงมีแต่นักวิปัสสนาที่มีกำลังสติฉุดคิดฉุดสงสัยเท่านั้นที่ได้ไปต่อ
เพราะช่วงขณะเกิดสติฉุดคิดสงสัยกับสิ่งที่สัมผัส อยู่ๆความรู้สึกรับรู้ก็หายไปเหมือนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
แล้วจู่ๆก็เห็นรูปร่างกายตนเองอยู่ในชุดเดียวกับนั่งสมาธิ และกับโลกอีกใบแบบหนึ่งต่อหนึ่งชัดๆ
( จังหวะเว้นวรรคนั้นก็คือ การม้วนสลับด้านสลับมิติจากวงในไปเป็นวงนอก หรือจากบัวคว่ำไปเป็นบัวหงาย ณ.มิติคู่ขนานที่เคลื่อนตัวหมุนสวนทิศทางกันและกัน )
ปริศนาพระสูตร?
? "เหลียวซ้ายแลขวา จะได้เห็นบุตรภรรยาหรือนัดดาก็หามิไม่ ต้องอยู่คนเดียวในป่าช้า จะหาใครเป็นเพื่อนสองก็ไม่ได้"
ใช่เลยชัดเจน เพราะผมเห็นตัวเองเดินสำรวจรอบๆวัดเพียงลำพัง กับความสงสัยผู้คนหายไปไหนกันหมด จึงตั้งสติทบทวนขณะนั่งสมาธิแล้วจู่ๆก็เกิดความรู้สึกถึงเส้นด้ายขาดตกจากที่สูงมากๆ แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วบอกกับตัวเองว่า..กูอยู่ไหนวะเนี่ย
ปริศนาพระสูตร?
? "เมื่อมีชีวิตอยู่ก็อยู่เหนือแผ่นดิน เมื่อตายไปแล้วก็อยู่เหนือแผ่นดินนั้นเอง ไม่อาจพ้นจากแผ่นดินไปได้"
จุดเดินทางมาของผู้ตายแล้วฟื้น มีแผ่นดินและภาพเหตุการณ์จริงของโลก
จุดเดินทางไปของนักวิปัสสนา ก็มีแผ่นดินและภาพเหตุการณ์จริงของโลก
แล้วอย่างนี้จะให้เข้าใจยังไง ว่าชีวิตของเรากับโลกไม่มีคู่ขนาน
โปรดติดตามตอนต่อไป..
!
โฆษณา