22 เม.ย. เวลา 10:30 • ข่าว

บิ๊กโจ๊ก ร้อง ป.ป.ช. สอบนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เชื่อโดนรุมกินโต๊ะสกัดนั่ง ผบ.ตร.

"บิ๊กโจ๊ก" ดับเครื่องชน ร้อง ป.ป.ช. กล่าวหาเอาผิดนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ปมสั่งย้ายช่วยราชการ-ส่งกลับ ตร. ก่อนถูกให้ออกราชการ เชื่อเป็นการรุมกินโต๊ะหวังสกัดนั่ง ผบ.ตร. ลั่น "ถ้าผมผิดจริง ผมออกเลย ไม่อยู่สู้อย่างนี้หรอก"
เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 22 เมษายน 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถนนนนทบุรี 1 อ.เมือง จ.นนทบุรี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
เพื่อยื่นหนังสือถึงนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เอาผิดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และชุดพนักงานสอบสวน หลังมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกดำเนินคดีและเข้าสู่กระบวนการสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม นาน 6 เดือน จนถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ตนต้องออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง เน้นในเรื่องของคดีอาญาที่มีการดำเนินการโดยมิชอบ แต่จะไม่พูดถึงสำนวนคดีว่าใครผิดใครถูก พร้อมกางหลักฐานขั้นตอนการสอบสวนตน เริ่มจากมีการดำเนินคดีกับลูกน้องตนทั้ง 8 คน และมีการขยายผลมายังตนและลูกน้อง รวม 5 คน ท้ายที่สุดทาง ป.ป.ช. มีมติเรียกกลับสำนวน เพราะเป็นคดีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งตามกระบวนการ ตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน โดยไม่ได้มีหน้าที่ในการสอบสวน หรือออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ
ปรากฏว่าหลังจากนั้น พนักงานสอบสวนกลับมีการทยอยแบ่งสำนวนกันทำ ทั้งที่เป็นเส้นเงินเดียวกัน ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน และเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องส่ง ป.ป.ช. และเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ตนมองว่าการสอบสวนของตำรวจ สน.เตาปูน ไม่เป็นธรรม แจ้งข้อหาความผิดฐานฟอกเงิน ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช. ต้องสอบสวน ถ้าหากความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท ต้องเป็นอำนาจของ DSI พนักงานสอบสวนจะต้องส่งสำนวนคดีพิเศษให้ดีเอสไอ ภายใน 15 วัน
ต่อมาทางพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน อ้างว่า ความเสียหายไม่ถึง 300 ล้าน แต่ภายหลังพบว่าสำนวนที่ส่งให้ ป.ป.ช. มีความเสียหายอยู่ที่ 490 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าการที่พนักงานสอบสวน สอบสวนแทน ป.ป.ช. ไม่ได้หวังผลในเรื่องคดี แต่หวังผลไม่ให้ตนขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งตนเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. อันดับที่ 1 แต่ถ้าหากตนเป็นอันดับที่ 6 คงไม่ถูกกระทำแบบนี้
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องนี้มองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง และมีการแบ่งงานกันทำ ตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา ตนได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาตลอด ขอให้โอนสำนวนมายัง ป.ป.ช. แต่กลับไม่โอน กระทั่งวันที่ 18 เม.ย. มีคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน
วันถัดมา 19 เม.ย. คณะพนักงานสอบสวนกลับส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. ซึ่งมองว่าถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรก ตนจะอยู่ในฐานะ "ผู้บริสุทธิ์" เพราะคณะกรรมการยังไม่มีการชี้มูลความผิดและคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ตามกฎหมายจะไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยกย้ายตนได้ พร้อมย้ำว่า "ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริง ผมออกเลย เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว "
นอกจากนี้อีก 2 วัน ตนจะเตรียมยื่นเรื่องวินัยที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบคณะสอบสวน ขณะนี้เตรียมต่อสู้โดยการร่างหนังสือถึงคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และจะมีการแถลงข่าวเพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยโดยมิชอบ และเชื่อว่าสื่อจะต้องตกใจอย่างแน่นอน
สำหรับการยื่นเรื่องร้องเรียนนายเศรษฐาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังมีคำสั่งให้ตนไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมามีการตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนตน 60 วัน ตนกำลังจะไปให้การ แต่กลับมีการส่งตัวกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วให้ออกจากราชการ ทั้งที่การสอบยังไม่สมบูรณ์
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวหาหัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจสอบสวน พร้อมประกาศ "ตนออกจากราชการแล้ว ตนมีเวลาในการเตรียมตัวสู้คดีเยอะ หลังจากนี้เตรียมตั้งรับให้ทันแล้วกัน"
ส่วนเรื่องเอกสารที่ปรากฏสู่สาธารณะ ที่ได้มีการทำหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของหนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช. และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ตอบชัดเจนว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ บอกเพียงว่า สื่อคงเห็นรายละเอียดอยู่แล้ว จะไม่พูดถึง เรื่องเอกสารที่ปรากฏ มีหลายประเด็นและมีที่มาที่ไป แต่เชื่อว่าทาง ป.ป.ช. จะเอาไปประชุมพิจารณา
ก่อนที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พนมมือขึ้น พร้อมคำกล่าว "เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครทำไรได้อย่างนั้น ใครมาทางไหนไปทางนั้น เมื่อองค์กรผมให้ความยุติธรรมไม่ได้ จึงต้องร้ององค์กรนอก"
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ใครเกี่ยวข้องตนจะดำเนินคดีทั้งหมด และในท่อนท้ายของเอกสาร มีการลงชื่อพยานกล่าวอ้างถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือก่อนลงชื่อหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ขอไม่ตอบในส่วนนี้ พร้อมยืนยันว่าตนไม่ใช่คนปล่อยเอกสารฉบับนี้ออกมาแน่นอน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่ได้กลับไปเป็นข้าราขการตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จะกลับไม่กลับ เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจ วันนี้ตนสู้ ใครถูกกระทำแบบนี้ ต้องสู้ทุกคน เพราะกระทำไม่เป็นธรรม หากผิดจริง ตนไม่สู้ ตนนักเลง ถ้าผิดจริง ยอมอยู่แล้ว ส่วนหากไม่ได้กลับเข้าสู่เส้นทางข้าราชการตำรวจแล้ว จะหันไปเล่นการเมืองหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิด เอาเรื่องสู้คดีก่อน เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลาน ว่าการกระทำโดยมิชอบจะมีผลอย่างไร
โฆษณา