24 เม.ย. เวลา 10:20 • นิยาย เรื่องสั้น

มือที่มองไม่เห็น

เหนอะหนะ เหนอะหนะไปหมด
เมื่อตื่นขึ้นหัวผมก็รู้สึกตื้อไปหมด ตัวก็เหนียวเหนอะน่ะจนไม่อยากลุกจากเตียง วันนี้ผมมีสอบย่อยแค่จะลุกไปเปลี่ยนเสื้อยังลำบาก สิ่งที่อ่านมาก็ไม่ค่อยช่วย เรียนก็ไม่ค่อยได้เรียน ล้มเหลวจริงๆ ผมใช้เวลา 30 นาทีกว่าจะดึงตัวขึ้นจากเตียงและลุกไปเปลี่ยนเสื้อ นั่งมอเตอร์ไซค์ไปสอบ
เมื่อถึงคณะ ผมยังงัวเงียไร้สติ พยายามเปิดเนื้อหาสักนิดเพื่อหาความรู้เข้าหัวก่อนสอบแต่ก็นึกไม่ออกว่าต้องเปิดอะไร เรียนอะไรไปนะ คุ้นๆว่าเรื่องที่เรียนก็ไม่ได้ใหม่แต่ทำไมนึกชื่อของมันไม่ออก ผมเดินเข้าลิฟท์ไปด้วยความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง รู้สึกเหมือนมีปลิงกำลังดูดเลือดอยู่ที่หลัง สมองถูกกดทับควบคู่กับตาที่มืดบอดราวกับมีมือขนาดยักษ์ครอบหัวทั้งใบไว้
กระเป๋ากางเกงสั่นเล็กน้อย ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู
“อาจารย์จะเริ่มควิซแล้ว อยู่ไหน” เพื่อนไลน์มา
“อยู่ในลิฟท์ละ” ผมตอบ
ผมเดินไปที่ห้อง เปิดประตู นั่งตรงที่ประจำอยู่ระหว่างรุ่นพี่กับโต๊ะที่เต็มไปด้วยของ สงสัยคาบสุดท้ายเพื่อนคงอยากนั่งเป็นกลุ่ม นั่นสินะ คาบสุดท้าย วันสุดท้าย ของเหล่านี้มันเหมือนจะเศร้าแต่เราก็ไม่เคยใส่ใจมันเท่าไหร่นี่นา
สมัยผมอยู่ประถม ผมรู้สึกถึงการจากลาครั้งแรกก็คือหนึ่งปีก่อนที่จะแยกกับเพื่อนๆที่ร่วมเรียนกันมากกว่า 5 ปี และเราจะจากกันในปีที่ 6 ผมเตรียมใจรับการจากลา มันต้องเศร้าแน่ๆ เพื่อนต้องร้องไห้ เราคงน้ำตาซึม แต่ทุกคนพยายามทำเหมือนมีความสุขข้างหน้ารอเราอยู่ มันเป็นค่านิยมหรือการเชื่อมต่อของบางสิ่งกันนะที่ทำให้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ต้องเป็นแบบนี้ ทว่าเมื่อเจอเข้าจริง มันคือการถ่ายรูปรวม ต่างคนต่างมองหน้ากันและจดจำรอยยิ้มและความทรงจำเอาไว้
เราสนทนาโดยเชื่อว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ดูเอลหรือเล่นการ์ดครั้งสุดท้าย ไม่มีอาจารย์มานั่งริบการ์ดก็รู้สึกสบายใจ ผมจำอะไรมากไม่ได้แต่คนส่วนใหญ่เลือกกลับบ้าน มีผมกับเพื่อนที่พ่อแม่ติดงานและมารับช้า
ที่สบายใจกว่าคือเด็คที่เลือกเล่นนั้นสะท้อนตัวตนของแต่ละคนออกมา ผมเลือกออราเคิล ทิงค์แทงค์ เป็นเด็คที่พลังโจมตีไม่สูง แต่สามารถดูการ์ดใบต่อไปล่วงหน้าได้และจัดวางได้ตามใจ เพื่อนใช้ไดเมนชัน โพลิส แม้ชื่อจะฟังดูเป้นผู้พิทักษ์แต่เป็นเด็คที่เน้นพลังโจมตีที่สูง และเน้นให้แวนการ์ดหรือจะเรียกว่าผู้นำก็ได้ลุกขึ้นมาตีได้อีกครั้ง
ผมจำผลการต่อสู้ครั้งนั้นได้ไม่ชัด เหมือนผมจะแพ้เพียงตาเดียวจากสามตา ไม่ใช่เพราะขีดอนาคตไว้หรอก คงเป็นเพราะดวงดีหรือต้อนอีกฝั่งจนจนมุมละมั้ง ถ้าเด็คมี 50 ใบ แล้วผมสามารถหยิบการ์ดครึ่งหนึ่งได้ตามใจชอบตลอดทั้งเกม มันก็คงวางแผนง่ายเป็นปกติ ผมไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรที่ชนะ คำว่าไว้มาเล่นกันใหม่นั้น ผมก็คาดหวังว่าจะได้เล่นอีกครั้ง แต่นี่ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว ผมรู้ดีว่าคงไม่มีอีก
อาจารย์เริ่มแจกข้อสอบ ความรู้ผมมืดบอด ดวงตาปิดลง ข้อสอบง่ายมากแต่กลับเต็มไปด้วยความลังเลและความจำที่ขาดหาย ผมตอบไม่ได้ว่าทำไมผมทำข้อสอบที่แสนง่ายนี้ไม่ได้ และเมื่อผมต้องตรวจมันให้เพื่อนๆ นั่นทรมานยิ่งกว่า เพื่อนต่างได้เต็มกันถ้วนหน้า มีผมได้เพียงเจ็ดจากยี่สิบ มันเรียกว่าผิดปกติเลยดีกว่า ผมทำข้อสอบกลางภาคได้อันดับต้นๆแต่กลับทำควิซสี่ครั้งเละเทะรั้งท้ายตลอด นี่มันอะไรกันเนี่ย
หัวผมเริ่มตื้ออีกครั้ง ผมไม่ฟังสิ่งที่อาจารย์จะสอนในคาบสุดท้ายแล้ว เรียกว่าฟังแบบผ่านๆน่าจะถูกที่สุด ผมไม่มีจิตใจอยากเรียนเลย ผมเปิดไอแพดขึ้นมาเพื่อเล่นเกมการ์ดอย่าง ยูกิโอ เกมการ์ดชื่อดังสมัยประถมอายุกว่า 25 ปี เต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ กลยุทธ์และรูปแบบเด็คที่หลากหลายเกินจินตนาการ
ดวงก็เป็นปัจจัยสำคัญ มีตานึงที่ผมเล่น แม้เด็คที่ใช้จะเก่งมาก มีกลยุทธ์รับมือหลากหลายยากกับศัตรูที่จะชี้เป้ามอนสเตอร์เพื่อทำลายหรือเอาออกจากเกม แต่มือที่เต็มไปด้วยการ์ดสำหรับขัดแข้งขัดขาฝั่งตรงข้ามและการ์ดสำหรับจบคอมโบนั้นมีอยู่เต็มมือ ผมยื้อมา 6 เทิร์นเพื่อหวังจะจั่วการ์ดเริ่มคอมโบให้ได้ซึ่งมีมากถึง 12 ใบ จาก 40 ใบ หากคิดคร่าวๆ โอกาสที่ผมเริ่มตาแรกและจะต่อคอมโบไม่ได้เลยตลอด 5 เทิร์นและพยายามจั่วจนได้การ์ดทั้งเกมเป็น 12 ใบ ก็คิดเป็น 1.4 เปอร์เซ็นต์ โอกาสเกิดเหตุการณ์นี้ต่ำมาก แต่มันก็เกิดขึ้น
ผมอ่อนเพลียกว่าเดิม วันนี้เลิกเร็ว 10.40 น. ก็เลิกคาบแล้ว ผมมีเวลา 20 นาทีเพื่อทานข้าวก่อนเริ่มคาบสถิติที่ผมรัก ผมพาตัวเองมาถึงโรงอาหารระหว่างเดินตามเพื่อนที่มีประชุมงานที่ตึกภาควิชาได้อย่างไรก็ไม่ทราบ เราแยกกันตอนไหน คงเป็นหน้าลิฟท์ ต่างคนก็ต่างมีสิ่งที่ต้องทำสินะ
หลังทานข้าวเสร็จ ผมมาห้องสายเล็กน้อยประมาณ 3 นาที ผมเปิดโน้ตบุ๊กเตรียมเปิดสไลด์ แบตเตอรี่หมด ปลั๊กก็ไม่มี ผมที่ทนกับสภาวะที่ควบคุมอะไรไม่ได้แม้กระทั่งตัวเองไม่ไหวตัดสินใจล้มตัวลงนอนก้มไปกับโต๊ะ อาจารย์ยังไม่มา นิสิตค่อยๆทยอยเข้ามาในห้องขนาดเล็กทีละคน
ความรู้สึกอึดอัด และตื้อตึงค่อยๆชัดเจนขึ้น ผมรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกลูบไล้ด้วยมือที่มองไม่เห็น ความเหนียวเหนอะหนะค่อยๆแผ่กระจายมากขึ้น เพราะนอนตีสามรึเปล่านะ ร่างกายถึงได้รู้สึกแปลกๆถึงเพียงนี้ มือนี้เป็นมือของใคร ไม่มีใครอยู่ใกล้ผมแท้ๆ มือที่มองไม่เห็นค่อยลูบไปทุกส่วนแต่ละไว้ซึ่งจุดซ่อนเร้นอย่างน่าประหลาด เวลาผ่านไปแล้ว ผ่านไปเล่า จากสิบนาทีขยับไปเป็นครึ่งชั่วโมง มือคู่นี้ไม่จางหายไป แต่กลับทำให้ผมรู้สึกกระวนกระวาย
เราจะจบมั้ย งานยังไม่ส่งก็อีกมาก อาจารย์ก็ยังไม่มา อึดอัด นี่มันความรู้สึกอะไรกัน อยากลุกแต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนผีอำกลางวันแสกๆแต่เป็นตอนนอนฟุบบนโต๊ะ บ้างก็ว่าผีตนนี้ไม่เคยมีรูปลักษณ์ มีชื่อเรียกต่างกันไป แต่ชื่อที่ขานกล่าวผีตนนี้ได้ชัดเจนที่สุดนั่นคือ “ความกระวนกระวาย” และ “ความกังวล”
แท้จริงผมก็ไม่มั่นใจว่าผีนั้นมีจริงมั้ย หากแต่ความกลัวที่เรามีมันก่อร่างผีตนนี้ให้ใหญ่ขึ้น ผีตนนี้เริ่มจากความกังวลเล็กๆ และเมื่อมันเติบใหญ่จนสร้างความกระวนกระวาย
เมื่อนั้นตัวผมก็ได้จมดิ่งสู่ห่วงมหาสมุทรสีดำมืด หายใจไม่ออก สำลักเพื่อเอาอากาศเข้าแต่ก็มีเพียงน้ำที่ทะลักเข้าสู่ปอด
ผมไม่เข้าใจ เราแหวกว่ายในโลกแห่งของไหลอยู่ เดิน วิ่ง ใช้ชีวิตโดยสัมผัสแรงต้านของอากาศอยู่ทุกวัน ทำไมวันนี้ทุกสิ่งกลับมีแรงดันที่พร้อมเอาน้ำสีดำที่มองไม่เห็นทะลักเข้าสู่ตัวโดยไม่ใยดี น้ำสีดำพวกนี้คงรอให้ผมบวมได้ที่และระเบิดร่างของผมให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ
ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นอีกครั้งหลังเวลาผ่านมาสี่สิบห้านาทีจากเวลาที่ผมทิ้งตัว ทุกคนยังนั่งอยู่ ทันใดนั้นนิสิตคนหนึ่งก็พูดขึ้น
“นี่ก็ผ่านมา 40 นาทีแล้ว ไปเลยดีกว่ามั้ย”
เจ้าของเสียงผู้ยืนหนึ่งเป็นที่หนึ่งในตอนเรียนกล่าวเสียงแข็ง
ผมหันไปสบตาและพยักหน้าเล็กน้อย
“ใครอยู่ก็อยู่ กูไปละ” เขากล่าวพร้อมเก็บกระเป๋าและเดินออกจากห้อง
ผมไม่รู้สึกถึงมือที่ลูบไล้นั่นแล้ว ร่างกายโล่งสบายชั่วครู่ ผมได้แต่สงสัยว่าไม่มีใครจะถามอาจารย์หน่อยหรอ ผมทักไปหาอาจารย์เพื่อสอบถามการเรียนวันนี้ แต่ก็เดินออกจากห้องอยู่ดี มีเวลาเหลืออีกสี่สิบนาที ต่อให้มาก็มาไม่ทันหรอก
ผมเดินลงมาถึงจุดรอรถประจำทางของมหาวิทยาลัย ผมรู้สึกเหนอะหนะเล็กน้อยบริเวณต้นขาและก้นกบ มันไม่หายไป แต่ก็ไม่รุนแรงเท่าเมื่อเช้า ผมประทับใจเล็กน้อย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเวน่อมที่มีซิมไบโอตเกาะอยู่แต่ควบคุมตัวเองได้เหมือนเอเจนท์เวน่อม
มือถือสั่นขึ้นอีกครั้ง ดึงผมจากภวังค์
“อ๋อ วันนี้ไม่มีเรียนครับ” อาจารย์กล่าว
โฆษณา