25 เม.ย. เวลา 09:53 • ปรัชญา

ทำไมผ้าไตรจีวรจึงเป็นเรื่องใหญ่โต ..เมื่อได้มีปัญญาธรรมที่เกิดขึ้น

ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่าบุญกุศลบารมี ที่จิตจะสร้างขึ้นมาให้เป็นบุญกุศลของเค้า โดยมากแล้ว จะพึ่งพาคนอื่น นำบุญกุศลมาเสริมสร้าง ความทุกข์ต่างๆมันก็จะไม่หมดไป ถ้าเราไม่ทำด้วยตัวของตัวเอง ..ช่วยทำให้หน่อยนะ ช่วยอย่างโน้นช่วยอย่างนี้ ถึงเวลาแล้วที่หาคนมาช่วยไม่ได้ จะทำอย่างไร
เมื่อทำไม่ได้ด้วยตัวเองของตัวเอง มัวแต่พึ่งคนนั้นคนนี้ หมดทุกอย่าง ตอนเรามีโอกาสได้ทำ ต้องรีบทำให้ได้ เรื่องบุญกุศลบารมี เป็นเรื่องให้สำหรับจิตของเรา วันแล้ว เดือนแล้ว ปีแล้ว ก็ยังไม่เห็นเรื่องราวของบุญกุศลบารมี เป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เวลาเกิดแก่เจ็บตาย มิใช่เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่น่ากลัว กลัวอะไรกลัวกรรมมันเกิดขึ้น ที่จะหนุนนำพาจิตของเรา กายของเรา ไปทุกข์ทรมานต่างๆนานา
จะเกิดมา กี่วันกี่เดือนกี่ปี เมื่อสิ่งนั้น มันเกิดขึ้น ..ให้ใครเค้าจะช่วย เค้าช่วยเฉพาะกาย แต่จิตของเราที่ต้องทุกข์ทรมาน ใครจะช่วย มาสร้างบุญสร้างกุศลบารมี เพื่อจะให้จิต ช่วยจิตของตัวเอง เมื่อถึงเวลาก็สามารถที่จะช่วยเหลือตนเองได้ เพราะจิตเป็นผู้มีบุญ มีปัญญาที่จะหนีกรรม และแก้ไขกรรม .รอยคอยให้ผู้นั้นผู้นี้มาช่วย
เหมือนกับว่าเจ็บป่วยแล้วนะ เมื่อกรรมมันมา ก็คอยยูคอยยา คอยหมอมาคอยรักษา มีความเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ที่จิตต้องได้รับ ที่อารมณ์มาเสริมปรุงรสแต่ง ให้กายได้รับทุกข์ ไม่ใครเค้าช่วยเรา ถ้าเราไม่รีบหนุนนำ ให้จิตมีบุญมีบารมี
เมื่อเราพร้อมจะเก็บหอมรอมริบ บุญกุศลบารมี เราก็เพิกเฉย เมื่อถึงเวลานั้น หมดโอกาสที่จะประคับประคองจิตตัวเอง
ทุกคนเกิดมากรรมนำมาเกิด เมื่อกรรมนำมาเกิด เราก็รู้แล้วว่าเป็นกรรม มีทั่งกรรมดี กรรมไม่ดี แต่โดยมากเลือกเห็นกรรมไม่ดี เป็นเรื่องของจริง กรรมดีเป็นเรื่องของรองลงมา ก็เป็นเรื่องเห็นไม่จริงไม่จังเกิดขึ้น
กรรมดี ที่เกิดขึ้น ต้องหมั่นพิจารณาว่า ดีอย่างไร แก้ไขจิตของเราอย่างไรบ้าง จิตกระทบกรรม แล้วเป็นอย่างไร จิตไปกระทบบุญกุศลบารมี เป็นอย่างไร ก็หมั่นสังเกตตรวจสอบ ว่า อะไรที่เราควรยึดถือต่อไปวันข้างหน้า ก็โดยมากก็ไปยึดแต่สิ่งที่ไม่ดี ยึดว่าเป็นเรื่องดี
สิ่งต่างๆในโลกนี้ เป็นเรื่องของความสมมุติ สมมุติั้นปัจจัย นั่นยศฐานบรรดาศักดิ์ นั้นกาย นั่นที่อยู่ที่อาศัย ที่ไร่ที่นา อะไรต่างๆ ของกินของใช้ของทั้งหมดนั้นคือ สมมุติ ที่หาเป็นของจริงไม่
เหมือนกับมีกับข้าว เรานึกว่า กับข้าวนี้มาให้เรากิน มีข้าวให้กิน ที่มันจะมีต่อไปให่เรากินเรื่อยๆ พอเลยเวลาไปหน่อย ข้าวปลาอาหารนั่น ก็บูดแล้ว นั่นก็แสดงว่า นั่นไม่ใช่ของเราจริง ถ้าของจริงมันต้องไม่บูดไม่เน่า
แล้วบุญกุศล ที่มันติดอยู่ในจิตเป็นธรรมของจริง หรือ ของปลอม เราก็หมั่นพิจารณา
แต่โดยมาก เป็นเรื่องไปยึดถือของไม่จริงเป็นหลัก เพราะของจริง มันทำขึ้นมายากลำบาก ต้องทำจิตทำกาย กายต้องเป็นกายบุญ จิตต้องเฉยๆเพราะต้องต่อสู้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
เหมือนกับการภาวนาไปได้หน่อย เดี๋ยว..กรรมมันก็มาแทรกซ้อม พาไปโน้น พาไปนี่ นึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้
ฉะนั้นเราเป็นผู้มีกรรมเป็นหลักแล้ว เราก็ต้องหมั่นเพียรพยายาม สร้างบุญสร้างกุศลให้มากๆ เช่น สิ่งที่เรายึดถืออยู่ว่าเป็นของจริง ภัตตาหารและมิตตาหาร ปัจจัยสี่อะไรต่างๆ สิ่งเหล่านี้ ถือว่าเป็นเรื่องของจริงๆของเรา เพราะจะช่วยเหลือเราไม่ต่างกันลำบาก ในการหากินหาอยู่ ต้องไปยึดเค้าอยู่ แต่ยึดไว้ ไม่ให้ใครทั้งนั้น เก็บไว้ ..แม้แต่จะมีมากมายก่ายกอง ก็ไม่แบ่งปัน
ถ้าเรานำมา สร้างบุญ อุทิศให้กุศลที่เต็มใจต่างๆ กระทำขึ้น ทำบุญบ้างให้ทานบ้าง เราก็มาเปรียบเทียบ เมื่อก่อนเราทำอย่างไร ทำบุญต่างๆ ทำทานต่างๆ เรายังมีการยึดเรื่องนั่นเรื่องนี้เกิดขึ้น ถ้าเราทำไม่ยึด เราก็รู้จักดินฟ้าอากาศ มีความอิ่มเอิบใจ หรือ ว่าเป็นการยึด เป็นการอิ่มเอิบใจ ก็ต้องไปพิจารณา ตามเหตุผลต่างๆ
ถ้าเราไม่ไปพิจารณา ไม่ทบทวน ต่อไปมีใครมาพูด พูดเรื่องราวให้เราหลงในกรรม ทำบุญทำทานไม่เห็นได้อะไร มันต้องอธิษฐาน ขอบุญกุศลขอทานนั่นให้มันเป็นหนีสุข ให้อย่างโน้นอย่างนี้ สุขนิดเดียว แต่ข้างหน้า สุขนั้นก็สลัดมาเป็นเนื้อ..นั่นก็ต้องพิจารณาเหมือนกันว่า มันจริงเท็จอย่างไร
แล้วการฝากเรื่องราวต่างๆให้กับดินฟ้าอากาศ เช่น ทำทานบ้าง ให้อาหารสัตว์ต่างๆ หรือ จะแบ่งปัน ให้คนโน้นคนนี้ หรือ สร้างบุญกุศลกับภิกษุสงฆ์ ตัดขาดไปด้วยความอิ่มเอิบใจ ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อทรัพย์สินเงินทองนั่นๆ ที่บริจาคไปแล้ว
คนเราสังเกตดูนิสัย ดูเรื่องเรือนกายของเรา ดูเรื่องจิตใจของเรา แต่ว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องทำกายเป็นบุญ จิตเฉยให้ได้ คือ ภาวนา พุทโธๆขึ้น ต่อไป ก็จะสำรวจเรื่องราวเหล่านี้ ให้เข้าใจ ในเรื่องทำบุญให้ทาน มากขึ้น แล้วเราก็จะ ..
..เรารู้ของเรา..มุ่งหมายของเรา ใครจะบอกอย่างไร.. เมื่อเราอิ่มเอิบจากจิต แล้วเรารู้ว่า สิ่งนั้นเป็นของจริง ..สิ่งที่เค้ามา..ทำให้เราไขว้เขว ยุติการสร้างบุญสร้างกุศลให้ทาน ทำบุญให้ทานนั้น เราก็ปิดประตู..ไม่เดินตามเค้าไป นั้นก็เรื่องราวที่เราสะสมบุญสร้างกุศล ..เป็นบารมีให้จิตของเรา ที่มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในเรืองราวต่างๆเกิดขึ้น
ถ้าทำบุญทำทานแล้วไม่หมั่นไปพิจารณา มันก็จะคอยเวลา ..ที่มาตอบแทนเราตรงนั้น เพราะฉะนั้น ..แล้วเรากลับมาทบทวนมากขึ้น ความมั่งคงของจิตที่จะสะสมบุญบารมีก็มีมากขึ้นๆ จิตก็ได้เห็นกรรมเป็นสิ่งที่น่ากลัว..กายวาจาใจของเรา ..ที่พัวพันไปในเรือนราวของโลก ก็ค่อยๆ จะยุติลงได้
เมื่อได้มีปัญญาเกิดขึ้น เมื่อได้ฟังเสียงของธรรม หรือ ผู้แนะนำในเรื่องของวิญญาณทั้งหก ก็ค่อยๆศึกษาไปทีละเล็กทีละน้อย.. ถึงแม้ไม่ได้อะไร แต่เป็นผู้รู้ รู้แล้วไปตัดทิ้งทีหลัง ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นตัวสร้าง..ทำให้ทุกข์ สิ่งไหนที่เป็นสุข ..เราก็มาพิจารณา นั่นคือ การทำบุญ แล้วมีเหตมีผล ให้จิตของเรา
การเดินทางของจิต ..ถูกกรรมมันปิดบังต่างๆนานา ก็จริง ..แต่อย่าลืมว่า ที่กรรมมาปิดเรา เราเป็นผู้กระทำมาทั้งนั้น ก็เลยมรถูกปิด เหมือนกับเรานั่งภาวนาพุทโธๆ จิตสงบดีแล้ว เผลอไผลนิดเดียว อารมณ์พาไปโน้นไปนี่
สมมุติว่าเราเคยไปเทียวทะเล อารมณ์มันปรุงแต่งนิดเดียว เราก็ไปทะเล ไปตามอารมณ์ที่เค้าปรุงแต่ง เห็นมั้ยว่า จิตเรามันอ่อนแอ ต้องทำให้เข้มแข็ง ก็ต้องให้ดินฟ้าอากาศเค้าช่วยเหลือ เป็นผู้หนุนนำให้ให้จิตเข้มแข็ง ดินฟ้าอากาศ มีความร้อนความหนาว ฝนตกแดดออกอะไรก็แล้วแต่ นั่นคือ ดินฟ้าอากาศ
เราก็ไปสัมผัสดินฟ้าอากาศ โดยใช้กาย ..กายก็ส่งไปให้จิตมีเหตุต่างๆ คราวนี้สิ่งต่างๆ ที่กระทบ ก็คือ กาย ซึ่งมีหูตาจมูกลิ้นกายใจเป็นผู้รับรู้เรื่องราวต่างๆ เราก็ตั้งสติ ให้มีปัญญาเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่า มาถึง..ก็นึกว่า สิ่งนี้เป็นไอ้นี้ สิ่งนี้เป็นไอ้นั้น อย่าไปรวบรัด ..ก็ค่อยๆกระทำให้เกิดขึ้น เพราะมันต้องระวังมาก เรื่องราวต่างๆ
เรื่องการปฏิบัติธรรม จะถูกเจ้าเวรนายกรรม หรือ พญามารยุแยงให้หลงใหล ในสิ่งที่เราเคยหลงใหลไว้ เช่น หลงใหลยศฐานบรรดาศักดิ์ หลงใหลว่ากายเราเป็นผู้แข็งแรง หลงใหลในทรัพย์สินเงินทอง ที่เราเคยไปยึดอยู่ จะถอยออกจากเค้าก็ต้องศึกษาอยู่ที่วิญญาณทั้งหก
เพราะฉะนั้นการฝึกหัดปฏิบัติธรรม ให้เข้าใจในเป็นจิตของตัวเอง คราวนี้ จิตจับจิต จับจิต รู้จักจิต อ่านจิตค้นออกมาจากตัวตนของเรา ต้องให้กายเป็นผู้หนุนนำ แล้วฝึกกายให้จิตรับรู้ว่า ..จิตอยู่ตรงไหน แล้วทำไมต้องเอาจิตไปค้นจิตที่มันเกิดขึ้น นั้นก็ใช่้กายเหมือนกัน จะไปนึกคิดเอาเองมันไม่ได้
เหมือนกับกายของเรามอง มองเห็นต้นไม้ จิตเราเห็นแล้ว เมื่อตาเราเหมือนแล้ว ก็มอง ..นิ่งอยู่ แสดงว่า จิตสนใจในต้นไม้ จิตมี..ความหมายในความหมายของจิตตัวเอง คือ เอาตาไปมอง …
ถ้ามองแล้วอยากจะไปสัมผัส แตะต้อง เมื่อจับแล้ว..อะไรทำให้เราไปจับ เอามือไปจับต้นไม้ ..จิตอยู่ที่มือ ..ที่มือการสัมผัส แล้วอะไรที่เปล่งออกมา..ต้นไม่สวยจัง เอ๊ะ..ต้นไม้ไม่ได้พูด แต่ทำไม..เราพูด..ทำไมได้ยินเสียงที่โหวกเหวกๆ เราก็พิจารณาเอาว่า นั่นคือ อารมณ์ ..พอจิตมันไปสัมภาษณ์ขึ้นมา อะไรที่เรามีจากตรงนี้ ก็ตาเราไปมองที่มือ ตอนแรกตาส่งไปที่ต้นไม้ พอจิตมันขยับขยายขึ้นมา ไปจับที่ต้นไม้ …
..คราวนี้ อยากจะรู้ที่มาที่ไปอย่างไร ก็ไปสังเกตที่ลูกนัยน์ตา ที่นำจิตไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ ถึงแม้ว่า จะศึกษาที่ละเอียดขึ้นๆ ก็ต้องศึกษา ..เพราะเราก็ไม่ต้องให้มันเกิด ..เกิดมีกายมีตัวตน ถ้ามีกายเป็นบุญตัวตน ก็ต้องลำบาก ..ก็มีการเปลี่ยนตัวแก่เฒ่าแล้ว ถึงหมดลมหายใจไป จิตก็ออกจากร่าง ..แล้วตะลอนๆไป ไม่รู้ว่า ..จะจบตรงไหน ..
เมื่อมาถึงตรงนี้ พอจะเข้าใจอะไรต่างๆค่อยๆสะ..ทีละนิดที่หน่อย ให้มันรู้ ..ชาตินี้ ..เหมือนกัยเก็บสะสมไว้ หนึ่งบาทแล้ว ชาติหน้า ก็มีเงินหนึ่งบาทแล้ว ไปซื้อของไอ้โน้นไอ้นี่ มาบำรุงสังขารได้
..บุญบารมีก็เหมือนกัน อย่าไปทึกทักว่า ..รู้แจ้งเห็นจริงเท่านั้น ของให้สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วให้เข้าใจ เข้าใจ…อย่าให้มันยาวนัก เข้าใจสั้น แล้วเค้าจะขยับขยายไป มันมีอะไรบ้างที่เราต้องเกิดมาใช้ หูตาจมูกลิ้นกายใจ ถ้ายังแก้ไขไม่ได้ ต้องไปใช้ไม่รู้จักกี่ชาติ จิตสามารถละลายได้ทั้งหมด เราก็ไม่ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายตาย
วันนี้ได้มาสร้างบุญสร้างกุศล มีนึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผ้าไตรจีวร ..ก็ห่มจีวร ที่ครองจีวรแล้ว หลุดจากความยึดถือต่างๆ หลุดจากความโลภโกรธหลงต่างๆ ก็นึกถึงคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็นำผ้าไตรจีวร มาน้อมถวาย เพื่อให้จิตเรา ระลึกผู้มีพระคุณ ที่หนุนนำให้เรา รู้จักดีและชั่ว รู้จักความกตัญญูรู้คุณ เรื่องราวต่างๆ ..
..เพราะคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการประพฤติปฏิบัติ ก็นำผ้าไตรจีวร มาหนุนนำให้จิต ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้จิตไปพบแสงสว่างแห่งความหลุดพ้น เกิดแก่เจ็บตายนั่นเอง หรือ โลภโกรธหลง
…จึงมีบอกว่า ผ้าไตรจีวร ทำไมเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงได้หลุดพ้นจาก ..พระพุทธเจ้าหลุดพ้น ความทุกข์ได้ เพราะห่มผ้าไตรจีวร พอห่มผ้าไตรจีวร สิ่งต่างๆเจิดจ้า ไม่มีอะไร ที่จะไปข้าม ..รู้หมดแจ้งเห็นจริงทั่งหมด เราก็อยากจะไปบ้าง ขอให้ผ้าไตรจีวร ดึงจิตดึงใจ ข้าพเจ้าไปหาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับแสงขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อคลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ให้แก่จิตของเรานั้นเอง
นี่ที่มาที่ไปของผ้าไตรจีวร ที่มันยิ่งใหญ่นัก เราถวาย..อาจจะสร้างบุญคนนั่นคนนี้อะไรต่างๆ นั่นแหละ ก็นำเรื่องราวเหล่านั้น แม้แต่เจ้าเวรนายกรรม เมือเห็นผ้าไตรจีวรที่เค้ามาทักทวงอะไร เค้าก็มีหยุดยั้ง..ยังไม่ทำนะ เพราะกลัวแสง แสงที่ตัดโลภโกรธหลงนั่นเอง เพราเจ้าเวรนายกรรมมีโลภโกรธหลง เค้าก็มาทรมานเรื่องราวของโลภโกรธหลง นั่นเอง เมื่อเห็นแสงรัตนะก็หยุดยั้ง
เมื่อเรารู้ว่า เค้าหยุดยั้ง เราก็เร่ง..ทำ ทำหนีเจ้าเวรนายกรรมให้ได้ เมื่อเจ้าเวรนายกรรม เห็นเราหนี แล้วได้ส่งของต่างๆ คืนให้แก่เรา เราก็หลุดพ้นจากการติดอยู่ของเจ้าเวรนายกรรม นั่นคือ ..การผ่านพ้น ..แห่งการที่เราจะมีโลภโกรธหลงมีขึ้นให้ยึดถือต่อไป
ขอให้แสงธรรมวันนี้ สิ่งที่ได้ฟังวันนี้ ให้เข้ามาในจิต แล้วให้หลงธรรมเป็นที่พึ่ง
การที่จะบรรลุธรรมได้ ก็ต้องหนีจากโลกจริงๆ แล้วตัดขาดจากการยึดถือจริงๆ ก็ผ่านพ้นได้ แต่จิตยังไปไม่ได้ ..สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็เป็นการอโหสิกรรม เจ้าเวรนายกรรม ไปในตัว ..ความแข็งแรงของจิตก็จะเกิดขึ้น เพราะการสร้างบุญสร้างทานนั่นเอง
เดี๋ยว ก็บอกว่า เอ๊ะ ..ข้าพเจ้าสวดมนต์ภาวนาปฏิบัติ ไม่ต้องการเสียสละอะไรได้มั้ย ก็ได้..แต่ต้อง..มันยากลำบาก เพราะฉะนั้นต้ิอง เป็นตัวยึด ..ยึดทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศอะไรต่างๆ ถ้าเราทันเวลา..ทำทีละบาทสองบาท ข้าวช้อนหนึ่ง แกงช้อนหนึ่ง ก็สละไปทีละนิด ในที่สุดเรากาย..ยุติ ที่จะมาใช้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะเราให้เค้าไปแล้ว เราก็ฝากฝังไว้ เพื่อจะหนุนนำให้สังเกตในวันข้างหน้าของเรา มีของ ..เหล่านี้ มาช่วยเหลือสังขาร ให้มีร่างกายที่แข็งแรง พร้อมที่จะปฏิบัติธรรมนั้นเอง
ไม่ใช่ว่า…ทำแล้วมันหายไปเลย ของโลกของมนุษย์ ก็อยู่กับมนุษย์ ทำอะไรสิ่งใด ก็สมปรารถนา
..ทีนะ ปัจจะยาโร โหตุ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
โฆษณา