26 เม.ย. เวลา 07:30 • การเมือง

ควรรู้ผิดชอบชั่วดี “จตุพร” จี้ถาม ป.ป.ช. “เศรษฐา” ใช้รถประจำตำแหน่งพบ “ทักษิณ”

“จตุพร” ถาม ป.ป.ช. ไม่รู้สึกรู้สาเลยหรือ หลัง “เศรษฐา” ใช้รถประจำตำแหน่งนายกฯ ไปพบ “ทักษิณ” อัด ดิจิทัลวอลเล็ตคิดไม่รอบคอบ พร้อมชวนจับตาสถานการณ์บ้านเมือง 29 พ.ค.นี้ จะเป็นคำตอบทั้งหมด
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ เมื่อคืนวันที่ 25 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา โดยในช่วงหนึ่งระบุถึงกรณีมีข่าว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปคุยกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ ถนนเพลินจิต ท่ามกลางกระแสปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า คนสองคนจะไปคุยกันที่ไหนเป็นส่วนตัวไม่มีใครรู้ก็ได้ แต่มาแสดงให้สังคมเห็น คงประกาศศักดายิ่งใหญ่เบ็ดเสร็จแล้ว
1
อีกทั้ง นายทักษิณ เป็นผู้ต้องโทษอยู่ระหว่างการพักโทษคดีทุจริต ดังนั้น นายกฯ ควรรู้หลักครรลองคลองธรรม รู้ผิดชอบชั่วดี อะไรพึงทำและไม่พึงกระทำ
“การไปคุยกันแบบประเจิดประเจ้อ ราวกับแสดงให้ดูเสมือนว่าวันนี้ประเทศนี้เบ็ดเสร็จแล้ว ไฟเขียวก็โล่ง ดังนั้น การแสดงออกแบบกวนสังคม จะลากให้บ้านเมืองเดินสู่การล้มกระดาน แล้วเดือดร้อนประเทศและประชาชน”
นายจตุพร กล่าวต่อไปถึงการปรับ ครม. ว่า หลังการคุยที่โรงแรมโรสวูด ก็มีหลักคิดการปรับอีกแบบหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้ปล่อยข่าวปรับใหญ่ แล้วมาเป็นปรับเล็ก แต่วันนี้เกิดปรับกลาง ดังนั้น เมื่อนายกฯ ไปหารือการปรับ ครม. กับนักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษ เราจะการปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
อีกทั้ง นายกฯ ใช้รถประจำตำแหน่งไปพบได้หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่คิดจะเตือนหรืออย่างไร เมื่อใช้รถประจำตำแหน่งไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว และยังไปกินข้าวเที่ยงกับคนยังไม่พ้นโทษ หารือปรับ ครม. ทำได้อย่างไร ป.ป.ช. ไม่รู้สึกรู้สาเลยหรือ
ทั้งนี้ การปรับ ครม. เป็นเรื่องของพรรครัฐบาล สิ่งสำคัญพรรครัฐบาลไม่มีคนจริงอยู่แล้ว หากเป็นโผตามที่ระบุล่าสุด ชื่อที่ถูกปรับคนแรกคือนายกฯ ในฐานะ รมว.คลัง ส่วนที่เหลือเป็นองค์ประกอบ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาจากการดีลจนบ้านเมืองต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้
พร้อมมองว่า ครม.ชุดนี้อยู่ไม่นาน เมื่อนายทักษิณ มีพฤติกรรมท้าทายอารมณ์ประชาชนที่กังขาอาการป่วยวิกฤติช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่รับโทษ หนีการติดคุก ก็ยิ่งโชว์พลังออกมายั่วยุประชาชน ถามว่าคนในบ้านเมืองนี้ที่รู้สึกรู้สากันจะทนอยู่ในสภาพเช่นนี้กันหรือเปล่า ต้องทนเห็นนายกฯ คุกเข่าต่อหน้านักโทษระหว่างพักโทษอีกหรือ
ส่วนเรื่องโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet นายจตุพร เผยว่า ถึงขณะนี้ยังหาความจริงได้ยากมาก ยิ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาค้าน และยังต้องลุ้นการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาอีก ดังนั้น เรื่องนี้ยังไม่เป็นที่ยุติ และแสดงถึงนายกฯ และพรรคเพื่อไทย ยังคิดไม่รอบคอบในการดำเนินการ ที่สำคัญ รมว.คลังที่มาใหม่ ควรศึกษาอดีตข้าราชการคลังที่ติดคุกข้อหาทุจริตกรณีช่วยเหลือนักการเมืองด้วย
ขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ที่การตัดสินใจในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ จะเป็นคำตอบทั้งหมด และจะเป็นแรงเหวี่ยงทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ และจะเข้าสู่สถานการณ์ละเอียดยิบ ยังต้องลุ้นอีกว่าอัยการจะเลื่อนสั่งฟ้องอีกหรือไม่ ถ้าสั่งไม่ฟ้อง แล้วอัยการคนเดิมที่สั่งฟ้องจะว่าอย่างไร แต่ถ้าสั่งฟ้องแล้วหลักปัจจุบันเรื่องการประกันตัวจะว่าอย่างไร ในแต่ละเรื่องที่เกี่ยวกับคดี นายทักษิณ โดนข้อหา 112 จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ยังได้ย้ำถึงพฤติกรรมของนายทักษิณ ว่า “ถ้าเกรงใจประชาชน หรือเกรงใจกระบวนการยุติธรรมบ้าง ยิ่งเงื่อนไขการพักโทษมาจากป่วยวิกฤติ แต่เมื่อกลับมาอยู่บ้านเป็นคนละเรื่องกันเลย ออกจากบ้านปรากฏภาพให้เห็นไม่มีร่องรอยคนป่วยที่ช่วยตัวเองไม่ได้ วันนี้ถ้าสังคมกระเพื่อมขึ้นมา ที่สำคัญกลัวกระดานการเมืองถูกล้มกันใหม่ และจะเสียเวลาเปล่าไปอีกแบบ 9 ปีหรือเปล่า โดยไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้น อหังการพฤติกรรมโชว์พาวเป็นการแสดงอย่างจงใจหรือไม่ก็ตาม แต่ได้สะสมอารมณ์ความรู้สึกไม่พอใจของประชาชนไปกว้างขวาง”
1
โฆษณา