29 เม.ย. 2024 เวลา 03:25 • ประวัติศาสตร์

ทฤษฎีที่ท้าทายความเชื่อโบราณและพาโลกสู่ความจริง

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1473 (พ.ศ.2016) คือวันเกิดของชายผู้หนึ่งที่จะเปลี่ยนความเชื่อที่สำคัญในอดีต
ในเวลานั้น ผู้คนยังเชื่อว่าโลกคือศูนย์กลางของจักรวาล รวมทั้งคริสตจักรก็เชื่อเช่นนั้น
แต่ชายชาวโปแลนด์ผู้ที่เกิดในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1473 (พ.ศ.2016) กลับไม่เชื่ออย่างนั้น ชายผู้นั้นมีนามว่า “มีกอไว กอแปร์ญิก (Mikolaj Kopernik)“
1
กอแปร์ญิก เป็นบุตรชายในตระกูลพ่อค้าแร่ทองแดง ก่อนที่ในเวลาต่อมา เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม เขาเริ่มจะเขียนชื่อตนเองด้วยภาษาละติน และจะกลายเป็นนามที่โด่งดังในเวลาต่อมา
“นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus)”
นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus)
ขณะอายุได้ 18 ปี โคเปอร์นิคัสได้เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยศึกษาทั้งดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังศึกษาเพิ่มเติมเรื่องกรีกโบราณ เนื่องจากความสนใจที่แท้จริงของโคเปอร์นิคัสก็คือเรื่องราวของดาราศาสตร์ และงานเขียนส่วนใหญ่จะเป็นงานเขียนของกรีก
หลังจากศึกษาและวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน โคเปอร์นิคัสก็เชื่อว่าแนวความคิดที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล ซึ่งเป็นความเชื่อแต่โบราณ อาจจะไม่ถูกต้องนัก ที่ถูกต้องน่าจะเป็นดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางมากกว่า
2
แต่แนวคิดนี้ในยุคสมัยนั้นนับเป็นแนวคิดนอกรีต และโคเปอร์นิคัสก็ทราบดี จึงเลือกจะเก็บเงียบไว้ เนื่องจากโทษทัณฑ์ของการเป็นพวกนอกรีตนั้น มีโทษถึงประหารด้วยการเผาทั้งเป็น
1
แต่โคเปอร์นิคัสก็ได้จดบันทึกแนวคิดนี้และส่งให้เพื่อนที่ไว้ใจได้คนหนึ่งในปีค.ศ.1514 (พ.ศ.2057) โดยเอกสารนี้มีชื่อว่า “Commentariolus (The Little Commentary)“ โดยในเอกสารนั้นมีการระบุรายละเอียดไว้หลายข้อ โดยหนึ่งในข้อสำคัญก็คือ
“โลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล”
โคเปอร์นิคัสได้เขียนอีกว่า
“อาจจะมีพวกเพ้อเจ้อ โง่เขลาไม่รู้คณิตศาสตร์ ที่กล้าจะต่อต้านทฤษฎีของฉัน เนื่องจากในคัมภีร์ไบเบิ้ลมีข้อความตรงจริตพวกเขา ฉันไม่ให้ค่าพวกเขา และจะเหยียดหยามการตัดสินอันโง่เขลาเหล่านั้น“
เมื่อถึงปีค.ศ.1532 (พ.ศ.2075) โคเปอร์นิคัสก็ได้เขียนต้นฉบับแรกของหนังสือเรื่อง “De Revolutionibus Orbium Coelestium – The Revolutions of the Celestial Spheres“ เสร็จสมบูรณ์
แต่ถึงจะเขียนเสร็จ โคเปอร์นิคัสก็ยังไม่กล้าตีพิมพ์หนังสือของตนเนื่องจากเกรงว่าจะถูกเพ่งเล็งจากทางการและคริสตจักร
แต่อีกเจ็ดปีต่อมา “จอร์จ โจคิม เรติคัส (Georg Joachim Rheticus)“ ก็ได้มาร่วมงานกับโคเปอร์นิคัส และก็ได้อ่าน De Revolutionibus Orbium Coelestium – The Revolutions of the Celestial Spheres และก็ชื่นชอบอย่างมาก พร้อมทั้งเชียร์ให้โคเปอร์นิคัสตีพิมพ์งานเขียนนี้
1
ในที่สุด โคเปอร์นิคัสก็ตอบตกลง และอนุญาตให้เรติคัสตีพิมพ์งานเขียนนี้ และก็เป็นดังคาด งานเขียนนี้ได้รับการต่อต้าน โดย “มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther)” นักบวชชาวเยอรมันคนสำคัญ ได้เขียนว่า
“ไอ้โง่นี้ต้องการจะพลิกกลับวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ทั้งหมด หากแต่บันทึกศักดิ์สิทธิ์ก็ได้กล่าวว่าโจชัว (Joshua) ได้บัญชาให้ดวงอาทิตย์อยู่นิ่ง ไม่ใช่โลก“
จอร์จ โจคิม เรติคัส (Georg Joachim Rheticus)
แต่โคเปอร์นิคัสก็ยังไม่ถูกจับกุม และงานเขียนของโคเปอร์นิคัสก็ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน ก่อนที่โคเปอร์นิคัสจะเสียชีวิตในปีค.ศ.1543 (พ.ศ.2086)
แต่ถึงจะเสียชีวิต แต่ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสกลับได้รับการสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ มากซะจนในปีค.ศ.1616 (พ.ศ.2159) คริสตจักรคาทอลิกได้ออกมาประกาศว่า ความเชื่อที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลนั้นเป็นความเชื่อนอกรีต และสั่งแบนหนังสือของโคเปอร์นิคัส ก่อนจะอนุญาตให้ตีพิมพ์ฉบับปรับปรุงในปีค.ศ.1620 (พ.ศ.2163) ซึ่งมีการแก้เนื้อหาบางส่วน
1
แต่ถึงจะแก้เนื้อหาก็ไม่ทันแล้ว นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ต่างศึกษางานของโคเปอร์นิคัส และสนับสนุนทฤษฎีที่ว่าโลกเป็นเพียงดาวดวงหนึ่งในจักรวาล ไม่ใช่ศูนย์กลางของอะไรทั้งนั้น
ค.ศ.1632 (พ.ศ.2175) “กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei)” นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ก็ได้ยึดรากฐานจากแนวคิดของโคเปอร์นิคัส และยืนยันว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei)
กาลิเลโอถูกจับกุมในข้อหานอกรีตและต่อต้านแนวคิดของคริสตจักรคาทอลิก
แต่ในปัจจุบัน หลังจากที่โคเปอร์นิคัสเสียชีวิตมาเกือบ 500 ปี โลกก็ได้พิสูจน์แล้วว่าแนวคิดของเขานั้นเป็นความจริงหรือไม่
โฆษณา