2 พ.ค. เวลา 00:09 • ธุรกิจ

Google Break Down เมื่อ Big Tech กำลังอยู่ในสถานการณ์ กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง

ในช่วงต้นปี 2023 หลังจากที่ OpenAI เปิดตัว ChatGPT ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ถือได้ว่าสร้างความปั่นป่วนให้กับแวดวงเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก
1
การที่อยู่ดี ๆ Chatbot ที่ก็ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีใหม่อะไร แถม Google ยังเคยมีผลิตภัณฑ์อย่าง Google Assistant ที่มีความสามารถสูงส่งเช่นเดียวกัน มีสรรพกำลังด้านทรัพยากรบุคคลด้าน AI โดยเฉพาะจากทีม Deepmind ที่ไม่เป็นสองรองใครในปฐพีนี้
ความชะล่าใจของ Google ที่ไม่คาดคิดว่าเทคโนโลยีอย่าง Generative AI มันจะแจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ ทั้งที่ Google เองก็มีเทคโนโลยีนี้อยู่ในมือแล้วแท้ ๆ แต่กั๊กไว้ไม่ได้เปิดเผยออกมา
ทำให้เมื่อ ChatGPT กลายเป็นกระแสไปทั่วโลก Google ที่คิดจะเร่งสร้างโมเดลคล้าย ๆ กันออกมามันก็กระทำได้ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะเสียหน้าสื่อให้กับ Chatbot น้องใหม่อย่าง ChatGPT ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่เมื่อผลิตภัณฑ์อย่าง Google Bard พร้อมเปิดตัวในอีกหนึ่งปีถัดมา มันกลับมีข้อบกพร่องที่เหลือเชื่อที่หลุดออกมาจากบริษัทที่มีความพร้อมที่สุดด้าน AI อย่าง Google
Google ที่เป็นหนึ่งในผู้นำในการปฏิวัติอินเทอร์เน็ตในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 ก่อนที่จะแตกแขนงบริการไปสู่อีเมล แผนที่ และอื่น ๆ อีกมากมายจนทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดในการเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกในช่วงปี 2016
ในขณะที่ Chatbot อย่าง ChatGPT กำลังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของการท่องโลกออนไลน์นับตั้งแต่การก่อตั้ง Google เมื่อ 25 ปีที่แล้ว เป็นจุดที่เสี่ยงอย่างยิ่งที่ Google กำลังจะสูญเสียตำแหน่งผู้นำ
ในขณะที่ Google สะดุด คู่แค้นแสนรักที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานอย่าง Microsoft กลับพุ่งทะยาน โดยได้เดิมพันกับ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ตั้งแต่เนิ่น ๆ และรวมบริการ AI อย่าง CoPilot เข้ากับผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หลักของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว นำพาบริษัทกลับมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้อีกครั้ง
Google ยังคงต้องต่อสู้กับเทคโนโลยี Generative AI เพื่อพลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้ แต่มีข้อมูลจากบุคคลภายในบริษัทเองที่มองว่า องค์กรที่เริ่มใหญ่เทอะทะ โครงสร้างองค์กรที่แตกแยกร้าวฉาน และขาดแผนการที่เป็นเอกภาพในการนำเทคโนโลยี Generative AI มาใช้ในผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับพวกเขาเป็นอย่างมาก
การตอบสนองครั้งแรกของ Google ต่อ ChatGPT นั้นเรียกได้ว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง คำตอบที่ดูตลกกลายเป็นเรื่องขำขันในโลกออกไลน์ทำให้ Google หน้าแตกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพวกเขา
1
Google หน้าแตกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จากการตอบคำถามของ Bard (CR:IndiaToday)
นั่นทำให้ Alphabet บริษัทแม่ของ Google สูญเสียมูลค่าตลาดไป 1 แสนล้านดอลลาร์ในเพียงระยะเวลาเพียงแค่วันเดียวหลังการเปิดตัว Google Bard เมื่อ Chatbot ให้คำตอบผิดในระหว่างการสาธิต
แม้ Bard จะค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็น Gemini ซึ่งเป็นตัวในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ก็เจอกับปัญหาตามมาอีกมากมาย
1
Google ถูกบังคับให้หยุดใช้งานโมเดลการสร้างภาพส่วนบุคคลโดยเครื่องมือการสร้างรูปภาพผ่าน Gemini หลังจากพบว่ามันสร้างภาพของผู้หญิงและคนผิวสีในบริบทที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นกษัตริย์ไว้กิ้งหรือทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง
2
ปัญหาด้านวัฒนธรรมองค์กรก็เป็นอุปสรรคสำคัญเช่นกัน ผู้บริหารปัจจุบันและในอดีตของ Google ได้ออกมาเปิดเผยถึงลักษณะของบริษัท Google ที่คล้าย ๆ กับชุมชนย่อย ๆ โดยแต่ละสายผลิตภัณฑ์มีผู้นำของตัวเอง
1
เหล่าพนักงานเป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่มักจะได้รับแรงจูงใจให้สร้างการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์มากกว่าที่จะสร้างนวัตกรรมแบบแหกกฎหรือการทำงานข้ามทีม
การตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการนำ Generative AI มาใช้นั้นถูกระจายไปในหลาย ๆ ส่วนงานที่รับผิดชอบบริการค้นหา รวมถึงบริการต่าง ๆ อีกมากมายของ Google
“มีความคลาดเคลื่อนระหว่างทีม AI ที่พยายามทำสิ่งใหม่ ๆ และทีมค้นหาและโฆษณาที่พยายามรักษาสิ่งที่พวกเขาเคยมี” คนที่รู้จักการทำงานของบริษัทกล่าว “Google เปรียบเสมือนรัฐชาติ และบริษัทถูกบริหารแบบเจ้าขุนมูลนายไม่ต่างจากระบบราชการ”
Sundar Pichai ที่เป็นซีอีโอของ Google ก็ได้ออกมายอมรับเองถึงขนาดที่ใหญ่เทอะทะขององค์กร ซึ่งมันทำให้ยากในการบริหารให้มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เขาถึงกับกล่าวว่า DNA ของ Google นั้นกลับทำให้ทุกคนต่างคิดว่า “ยิ่งสิ่งต่าง ๆ ประสบความสำเร็จ คนก็ยิ่งกลัวความเสี่ยงมากขึ้น”
และที่สำคัญไม่รู้ว่า Sundar Pichai เองเป็นผู้นำที่เหมาะกับสถานการณ์แบบนี้จริงหรือไม่
Diane Hirsh Theriault วิศวกรของ Google ที่ทำงานกับบริษัทมาแปดปี เขียนใน linkedin เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า “ผู้นำ (Sundar Pichai) ไม่มีวิสัยทัศน์ของตัวเองอย่างแท้จริง และกำลังพยายามชี้นำไปในทิศทางที่คลุมเครือของ AI ขณะเดียวกันก็สั่งเชือดพนักงานของตัวเองผ่านการเลิกจ้างครั้งใหญ่”
แม้ Pichai จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งชอบบริหารงานสไตล์ที่มี emphathy สูง แต่สไตล์แบบนี้ไม่ใช่ผู้นำในสนามรบที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในตอนนี้ที่ Google ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้รวดเร็วที่สุดเพื่อปิดช่องว่างด้าน AI กับ Microsoft และ OpenAI
Sundar Picha ที่ถูกตั้งคำถามว่าเหมาะกับสถานการณ์นี้ของ google หรือไม่ (CR:Britanica)
คนในองค์กรก็ได้ออกมาเตือนว่าการที่เขาเข้าไปคลุกคลีในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ AI มากจนเกินไป มันอาจจะเป็นเรื่องผิดที่ผิดทางในฐานะประธานบริหารของเขาเอง
ย้อนกลับไปในปีที่แล้ว Pichai ได้ทำการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญหลังจากการเปิดตัว ChatGPT โดยผลักดันให้มีการผสานรวมกันระหว่างสององค์กรวิจัยที่สำคัญของ Google ทั้ง Deepmind ที่ฐานหลักอยู่ที่ลอนดอนและ Google Brain ที่แคลิฟอร์เนีย
เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว Demis Hassabis ผู้ร่วมก่อตั้ง Deepmind ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้ากลุ่มที่มีการรวมกันภายใต้ชื่อ Google Deepmind ทำให้เขาได้รับตำแหน่งที่ใหญ่โต นำไปสู่ความไม่พอใจของคนที่เชื่อว่าควรเป็นทีมผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่เหล่านักวิจัยที่ควรนำ AI มาใช้กับบริการของบริษัท
แถมในองค์กรที่ได้รวมกันใหม่นั้น ก็ยังมีการแบ่งก๊กแบ่งฝ่ายมีการแบ่งแยกระหว่างทีมที่ทำงานเกี่ยวกับ Gemini และทีมที่โฟกัสในการวิจัยเรื่องพื้นฐาน โดยทีมหลังต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรของบริษัทเพื่อทดลองโมเดล AI ที่ส่งผลให้พลาดโอกาสในการสร้างนวัตกรรม
และนั่นคือความแตกต่างระหว่างผู้นำทั้งสองบริษัท วิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไปของ Pichai นั้นแตกต่างอย่างยิ่งจาก Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ที่มีการเดิมพันอย่างหนักลุยแหลกกับ AI เช่นการลงทุน 13 พันล้านดอลลาร์ในความร่วมมือกับ OpenAI
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี Generative AI ของ Google มาใช้งานนั้นยังถือเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจการค้นหาหลักของบริษัท
หาก AI สามารถตอบคำถามของผู้ใช้ที่ต้องการค้นหาแบบโดยตรงได้มากขึ้น มันอาจลดความสำคัญในการคลิกลิงก์และโฆษณาที่ Google แสดงผล นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ Pichai ต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากในการลุยแบบเต็มตัวกับเทคโนโลยี Generative AI
คนใน Google กล่าวว่าธุรกิจโฆษณาของบริษัทผ่านการปฏิวัติครั้งใหญ่มาแล้วก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเข้ามาของมือถือสมาร์ทโฟน
แต่ก็ใช้เวลานานหลายปีในการพิสูจน์ให้ผู้โฆษณาและนักลงทุนเห็นว่าการโฆษณาบนมือถือจะมีประสิทธิภาพและทำกำไรได้เช่นเดียวกับธุรกิจปัจจุบัน
หรือในอดีต Google ก็เคยถูกมองว่าจะทำลายบริการค้นหาของตนเองเมื่อเริ่มให้คำตอบกับผู้ใช้โดยตรงด้วย Google Instant เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ซึ่งคำถามหลาย ๆ คำถามที่ให้คำตอบตรงผ่าน Google Instant ก็เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการใช้งานสมาร์ทโฟนแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งการคลิกลิงก์จากผลการค้นหานั้นยุ่งยากกว่ามาก
Google Instant ที่ช่วยเหลือผู้ใช้ให้ง่ายขึ้น (CR:romlom-wordpress)
Google เองก็ได้เริ่มทดสอบคุณสมบัติ Generative AI บางอย่างในเครื่องมือค้นหาหลักในบางพื้นที่แล้ว โดยแสดงภาพรวมที่สร้างขึ้นโดย AI ให้กับผู้ใช้บางส่วนในสหรัฐฯ และ สหราชอาณาจักร
ตอนนี้แม้แรงกดดันอาจจคลายสถานการณ์ลงไปเนื่องจากส่วนแบ่งในบริการค้นหาบนอินเทอร์เน็ตของ Microsoft เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้พวกเขาจะเพิ่มองค์ประกอบด้าน AI ในเครื่องมือค้นหา Bing ของตน
มันยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อ Google อย่างแท้จริงหรือไม่กับบริการค้นหาที่เป็นเครื่องจักรทำเงินหลักของพวกเขา เพราะ Microsoft สามารถครองส่วนแบ่งการค้นหาจาก Bing ได้เพียงแค่ 4.4% ในขณะที่ Google ยังครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จเหมือนเคยที่ 89.5%
แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ การในเทคโนโลยี Generative AI มาใช้อย่างเต็มตัวก็เพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะหันไปใช้ Chatbot หรือบริการที่ใช้ AI ตัวอื่น ๆ ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปเช่นเดียวกัน
ความล้มเหลวที่สำคัญที่สุดของ Google คงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า OpenAI มันถือกำเนิดขึ้นมาเพราะสาเหตุใด?
ในงานเลี้ยงอาหารค่ำในปี 2015 ที่ Rosewood Sand Hill โรงแรมสุดหรูใน Silicon Valley ในตอนนั้น Google เพิ่งเข้าซื้อกิจการของ Deepmind บริษัทสตาร์ทอัพด้าน Neural Network จากลอนดอน
ทุกคนในแวดวงเทคโนโลยีต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า Google มีความได้เปรียบอย่างมากที่จะพัฒนาเทคโนโลยี AGI ซึ่งเป็นระบบ AI ที่มีความสามารถเทียบเท่ากับมนุษย์เมื่อเผชิญกับงานที่ไม่คุ้นเคย
นั่นทำให้ในวันนั้น Elon Musk , Sam Altman และสมาชิกคนอื่น ๆ ของกลุ่ม “PayPal Mafia” รวมถึง Peter Thiel และ Reid Hoffman ได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อให้ห้องปฏิบัติการด้าน AI แนวคิดใหม่นี้เกิดขึ้นและนำไปสู่การร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 เพื่อต่อต้านการครอบงำของ Google ในวงการปัญญาประดิษฐ์
ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ Google มีพวกเขาควรทำได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่มาเป็นผู้ที่ตามหลังในเทคโนโลยีที่พวกเขามีสรรพกำลังพร้อมทุกอย่างเฉกเช่น AI อย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้
เรียกได้ว่าสถานการณ์ของ Google ในตอนนี้แทบไม่ต่างจากเพลงของพี่เบิร์ดที่ว่า “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง เหมือนมีอะไรที่ดึง ไม่ให้เราเลือกทางใด” คงไม่เกินเลยไปนั่นเองครับผม
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/google-break-down/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา