1 พ.ค. เวลา 21:17 • ความคิดเห็น
อุณหภูมิสูงสุดที่มนุษย์จะทนอยู่ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความชื้น, ระยะเวลาที่สัมผัสความร้อน, สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล เป็นต้น โดยทั่วไปมักจะอยู่ในช่วง 40-54 องศาเซลเซียส (หรือประมาณ 104-130 ฟาเรนไฮต์)
การสัมผัสความร้อนสูงเกินไปเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เกิดภาวะ Heat stroke หรือ ลมแดด คือร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน จนอุณหภูมิภายในสูงเกิน 40 องศาฯ เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกอึดอัดและทรมานจากความร้อน ตั้งแต่อุณหภูมิประมาณ 35 องศาฯ ขึ้นไปแล้ว โดยเฉพาะหากมีความชื้นสูงร่วมด้วย ยิ่งทำให้ร่างกายระบายความร้อนได้ยากขึ้น ส่งผลให้ Heat Index (ดัชนีความร้อน) สูงขึ้นกว่าอุณหภูมิจริง
นอกจากอุณหภูมิและความชื้นแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อความสามารถในการทนความร้อนของแต่ละคน ได้แก่
- ลักษณะทางกายภาพ เช่น อายุ น้ำหนัก สุขภาพโดยรวม โรคประจำตัว
- การปรับตัวต่อสภาพแวดล้อม เช่น ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ร้อนชื้นมานานจะทนได้ดีกว่า
- การแต่งกายที่เหมาะสม เช่น ใส่เสื้อผ้าบางเบาสีอ่อน มีการระบายอากาศได้ดี
- การดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียจากการขับเหงื่อ
- โอกาสเข้าถึงที่ร่มหรือแหล่งทำความเย็น เช่น แอร์ พัดลม น้ำเย็น ฯลฯ
ในระดับโลก หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นกว่า 4-5 องศาฯ จากยุคก่อนอุตสาหกรรม ซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 1 องศาฯ และยังคงเพิ่มต่อเนื่อง มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตบางพื้นที่อาจร้อนขึ้นจนเกือบไม่เหมาะต่อการอยู่อาศัยของมนุษย์แล้ว เนื่องจาก wet-bulb temperature สูงเกิน 35 องศาฯ เป็นเวลานานหลายสัปดาห์
Wet-bulb temperature คืออุณหภูมิที่อากาศสามารถเย็นลงจากการระเหยของน้ำ (เหงื่อ) ซึ่งหากสูงเกินระดับนี้ แม้คนสุขภาพแข็งแรงก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ ถึงแม้จะอยู่ในร่ม ไม่ได้ออกแรง และดื่มน้ำอย่างเพียงพอก็ตาม เพราะความชื้นสะสมในอากาศสูงมาก ทำให้ระบายความร้อนด้วยเหงื่อไม่ได้ผล
ดังนั้น การรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นมากกว่านี้ ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงเป็นความท้าทายสำคัญของมวลมนุษยชาติ ที่จะช่วยให้เราอยู่รอดบนดาวดวงนี้ต่อไปได้นานๆ ครับ
โฆษณา