Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Note to Self by Wilairat Aimaiem
•
ติดตาม
8 พ.ค. 2024 เวลา 14:43 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
“ชีวิตจะลำบากถ้าไม่หัดซาบซึ้งกับสิ่งที่เรามี”
เป็นคำพูดของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่เอ่ยคำนี้ขึ้นมาในตอนหนึ่งของซีรีส์สารคดี (docuseries) เรื่อง Slumfood Millionaire ใน NetFlix สารคดีโลกไม่สวยที่ว่าด้วยโลกของ อาหารและผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบจำกัดจำเขี่ยทั้งฐานะและความเป็นอยู่ รวมทั้งวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหารในแต่ละมื้อด้วย ว่ากันง่ายๆ เขาจะพาเราไปดูอาหารการกินของคนที่อยู่ในสลัมหรือสารพัดชุมชนแออัดทั่วโลก ซึ่งในสารคดีนี้มีชุมชนคลองเตยและเกาะกลาง ที่จังหวัดกระบี่ในบ้านเราด้วย
คำจำกัดความสั้นๆ ของ docuseries บอกไว้ว่า ‘From Mumbai to Bangkok, this docuseries visits impoverished areas in Asia and Features unheralded chefs who make amazing dishes with limited resources.
เรื่องราวในสารคดีจะครอบคลุมทั้งคนที่เป็นผู้ประกอบการร้านอาหารในชุมชนแออัด ไล่ไปจนถึงบรรดาพ่อบ้านแม่บ้านที่ทำอาหารให้คนในครอบครัวกินร่วมกัน พวกเขาไม่ได้เป็นเชฟชื่อดังมาจากไหน แต่รับประกันว่ามื้อนี้มีสุข เพราะเป็นอาหารที่ทำให้ทุกคนยิ้มได้และก้มหน้าก้มตากินกันแบบลืมโลกรอบตัวไปอย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ทำให้พวกเขายิ้มได้แบบเต็มปากเต็มคำ ยิ้มแบบเดียวกับหลายๆ คนที่มีความสุขกับชั่วขณะตรงหน้า ตรงนั้นเท่านั้น ไม่มีที่อื่น
แต่เมื่อแพนกล้องออกจากอาหารตรงหน้า เราจะเห็นว่าหญิงสาวที่เป็นเจ้าของคำพูดที่บอกให้ซาบซึ้งกับสิ่งที่ตัวเองมี อาศัยอยู่ในบ้านที่สร้างขึ้นใกล้พื้นที่ทิ้งขยะแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซีย โดยอยู่กับสามีและลูกสาววัยรุ่นอีกหนึ่งคน แถมเธอเองก็กำลังตั้งท้องลูกอีกคนอยู่ด้วย และอาหารที่ทำให้ทุกคนมีหน้าตาของความสุขเหมือนๆ กันก็คือ ผัดดอกมะละกอ ที่เธอบอกว่าเป็นจานโปรดของครอบัครัว วัตถุดิบก็หาได้ไม่ไกลเกินกว่าต้นมะละกอที่เธอปลูกไว้หน้าบ้านต้นสองต้นนั่น
(และจะว่าไปผู้เขียนเองก็เพิ่งรู้ว่าดอกอ่อนของมะละกอนี่มันเอามาผัดกินได้น่าอร่อยขนาดนี้)
ใส่ดอกมะละกอลงไปผัด เติมเครื่องปรุงเล็กน้อย ไม่นานก็ได้อาหารอีกมื้อสำหรับทุกปากท้องในครอบครัว ผัดดอกมะละกอน่าจะหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน ส่วนกลิ่นของกองขยะรอบบ้านนั้น หญิงสาวบอกว่าทุกวันนี้เธอไม่ได้กลิ่นที่ครั้งหนึ่งเคยเหม็นจนแทบทนไม่ไหวอีกแล้ว
ไม่ใช่เพราะกลิ่นเบาลง แต่เป็นเพราะเธอเคยชินมากขึ้น “ชีวิตจะลำบากถ้าเราไม่หัดซาบซึ้งกับสิ่งที่เรามี” นั่นละ ที่มาของคำพูดนี้
หรือชายหนุ่มเจ้าของร้านเล็กๆ ริมทางในเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ที่ทำบีทรูตกับแครอททอดจิ้มกินกับแกงที่ทำจากถั่วเหลือง ร้านเล็กๆ ริมทางของเขาคับแคบระดับที่ยืนไม่ได้ และต้องนั่งขัดสมาธิขายของ โดยตั้งตู้ใส่อาหารเลยออกมานอกร้าน แต่ที่น่าชื่นใจคือ เมื่ออาหารพร้อมขายแล้ว ลูกค้าก็มายืนต่อคิวรอกันไม่ถอย จิ้มกินกันคนละหนุบละหนับ เห็นแล้วทำร้ายจิตใจคนดูซีรีส์ตอนดึกมาก บอกเลย
สภาพภายในบ้านของชายหนุ่มจากกัลกัตตาคนนี้ เต็มไปด้วยเสื้อผ้าแขวนแน่นผนัง เมื่อรวมกับกิจการร้านขายอาหารเล็กๆที่คนซื้อเองก็มีกำลังซื้อน้อยแสนน้อย เช่น เด็กนักเรียนบ้าง ผู้ใหญ่บ้าง ที่ส่วนใหญ่แล้วก็ซื้อแล้วกินกันตรงนั้น ดูยังไงก็ไม่น่าทำให้เขาพูดได้ว่า “ผมมีความสุขมากๆ ที่ได้อยู่ที่นี่ ไม่มีที่ไหนที่ผมอยากอยู่เท่าที่นี่แล้วครับ” แต่เขาก็สรุปชีวิตตัวเองให้เราได้ยินแบบนั้น
ในซีรี่ส์นี้ ยังมีคุณป้าที่เปิดร้านขายเซี่ยงจี๊ย่างในชุมชนคลองเตย มีชุมชนชาวเวียดนามในเมือง Long Xuyen จังหวัด An Giang ประเทศเวียดนาม ที่หลายครอบครัวอาศัยอยู่บนเรือกลางแม่น้ำ และยืนยันที่จะอยู่ที่นั่นไปเรื่อยๆ เพราะสามารถทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการพายเรือขายผักได้ วันดีคืนดีก็จับปลาในแม่น้ำมาทำหม้อไฟปลาใส่ดอกโสนได้ พวกเขายืนยันว่าค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันน้อยกว่าการใช้ชีวิตบนแผ่นดินใหญ่อย่างเทียบกันไม่ติด
1
ไหนจะมีแม่บ้านที่ทำคอไก่ต้มขาย ครอบครัวที่สืบทอดกิจการต้มปลาปักเป้าขาย เจ้าของร้านเล็กๆ ที่เปิดร้านปิ้งย่างอาหารทะเลในตลาดเล็กๆ แม่บ้านที่เปิดหน้าบ้านขายอาหารที่เธอมั่นใจว่าหากินยากและเธอเท่านั้นที่ทำถึง นั่นคือน้ำเกรวี่ที่ทำจากตับและสมองหมู ผัดจนได้น้ำขลุกขลิกหอมฟุ้ง กินกับเค้กข้าวนึ่งลูกกลมๆ เธอบอกว่า น้ำเกรวี่จิ้มกินได้ไม่อั้น ลูกค้าซื้อเฉพาะเค้กข้าวเท่านั้น
ทางนี้ดูไปก็เดือดร้อนไป วุ่นวายใจว่าแล้วฉันจะไปหากินจากที่ไหนได้ แต่ปากบอกว่าดูแล้วเดือดร้อน เอาเข้าจริงก็ดูไปสองซีซั่นรวด จัดไป 12 ตอนเต็มๆ จุกๆ ก้าวผ่านความหิวระดับเข้มข้นมาได้ด้วยการคิดถึงหลายๆ ชีวิตที่เขาไปเสาะหามาให้เราเห็นในสารคดีนี่แหละ มีหลากหลายอารมณ์และเต็มไปด้วยสารพัดคำถามผุดขึ้นมาระหว่างดู
เราเคยเชื่อว่าถ้าคนเราพยายามมากพอ เราจะถีบตัวเองให้พ้นจากความยากจนได้ แต่ชีวิตของคนใน Slumfood Millionaire บางส่วนใช้ชีวิตแบบนั้นมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ และทุกวันนี้พวกเขาก็ยังพยายามอย่างหนักที่จะทำมาหากินและใช้ชีวิต
ยากที่จะบอกว่าเขาถีบตัวเองพ้นจากความยากจนหรือยัง เพราะภาพตรงหน้าไม่ได้บอกเราแบบนั้น ในขณะที่พวกเขาบอกว่ามีความสุขดีกับชีวิตในแบบที่เป็น “ชอบที่นี่ ไม่คิดจะย้ายไปไหน” คือคำพูดที่ได้ยินบ่อยมากในสารคดี แม้แต่คนที่อยู่ในบ้านที่ใกล้ที่ทิ้งขยะ ก็ยืนยันว่า “อยู่ได้” ในขณะที่ผู้เขียนหันมาคุยกับคนข้างๆ ที่นั่งดูอยู่ด้วยกันแล้วสรุปตรงกันว่า “เราไม่น่าอยู่ไหว”
ในฐานะคนดู เชื่อว่าเราทุกคนล้วนมีภาพของความเป็นอยู่ที่ ดีกว่า สบายกว่า ปลอดภัยกว่า หรือกระทั่งหรูหรากว่า มาเปรียบเทียบและคงอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมพวกเขาไม่เลือกในสิ่งที่ดีกว่าอย่างที่เราคิด? บางคนอาจจะเลือกได้ แต่ไม่เลือก หรือบางคนไม่อยากเลือกอะไรอีก เพราะจุดนี้ก็ดีพอแล้ว เรื่องนี้คงไม่มีใครรู้และเลือกได้ นอกจากเจ้าตัว ที่เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้ว ชื่อ Slumfood Millionaire ที่ชวนให้คิดถึงหนังเมื่อหลายสิบปีก่อนเรื่อง Slumdog Millionaire ก็ทำให้ผู้เขียนคิดอะไรต่อได้อีกมากมายและอยากชวนหลายๆ คนคิดไปด้วยกันว่า อารมณ์นี้ ใครคือเศรษฐีกันแน่
ถ้าเราเป็นเขา เราจะบอกว่า ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ หรือเปล่านะ
#Netflix #Docuseries #SlumfoodMillionaire
#slumfoodmillionaire #netflixseries #วิไลรัตน์เอมเอี่ยม #notetoselfbywa #บทวาม #แรงบันดาลใจ
บทความ
ความคิดเห็น
พัฒนาตัวเอง
2 บันทึก
1
1
2
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย