9 พ.ค. 2024 เวลา 12:06 • หุ้น & เศรษฐกิจ

‘ศุภวุฒิ‘ ชี้ ธนาคารกลาง มีความอิสระในการคุม ’เงินเฟ้อ’ ป้องกันถูกแทรกแซง

ช่วงหลายวันที่ผ่านมา มีคำถามอย่างหนักจากบทบาทของ “ธนาคารกลาง” หรือ “แบงก์ชาติ” ว่า มีความเป็น “อิสระ” หรือไม่? ในการดำเนินนโยบายการเงินที่ถือเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ
ประเด็นเหล่านี้กลับมาเป็นคำถามมากขึ้น เพื่อหวังลดอำนาจ และความอิสระของแบงก์ชาติให้ลดลง เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินสามารถทำได้ตอบโจทย์ทันท่วงที และเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนมากขึ้น
“กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ศุภวุฒิ สายเชื้อ” ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ในหลายแง่มุมเกี่ยวกับบทบาทของธนาคารกลาง โดยเขามองว่า แบงก์ชาติยังคงมีความอิสระอยู่ค่อนข้างมากในปัจจุบัน
1
และบทบาทหรือหน้าที่ของ ธปท. ถือว่ามี 3 หัวใจหลักคือ การกำหนดอัตราดอกเบี้ย เพื่อที่จะคุมเงินเฟ้อควบคู่กับการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ และสุดท้ายคือ การดูแลภาคสถาบันการเงิน
1
รวมถึง มีบทบาทในการตั้งเป้าเงินเฟ้อให้ชัดเจน อันนี้คือ หัวใจสำคัญของคำว่า “อิสระ” อิสระที่จะไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน และเป็นที่รู้กันทั่วไปคือ การดูแลเป้าหมายเงินเฟ้อ สอดคล้องกับธนาคารกลางทั่วโลกที่มีการกำหนด และคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายอย่างอิสระ และในที่สุดระบบเศรษฐกิจจะปรับตัว
และรู้ว่าเอาจริง จะไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงได้ ทำให้คุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปได้จริง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้จีดีพีโตได้เต็มศักยภาพ หากสามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาให้อยู่ในระดับที่ต่ำ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม
2
ดังนั้น แบงก์ชาติจึงควรมีอิสระในการทำให้เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับต่ำ และต่อเนื่องในระยะยาว แต่ไม่ใช่อิสระ โดยขาดการกำกับดูแล เพราะกฎหมายแบงก์ชาติเขียนชัดว่า ผู้ที่กำกับดูแลคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เช่นเดียวกับเป้าหมายเงินเฟ้อที่ต้องกำหนดร่วมกันกับกระทรวงการคลัง และต้องส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ และประกาศให้ประชาชนรับรู้
1
ฉะนั้น กรอบของความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ ตามกรอบกฎหมายไทยยังเขียนอีกว่า ให้คำนึงถึงนโยบายของรัฐด้วย ดังนั้น องค์กรแบงก์ไม่ใช่องค์กรอิสระ แต่มีอิสระในการทำให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายที่ตกลงกับกระทรวงการคลัง หากทำไม่ได้ตามเป้าหมายต้องเขียนจดหมายอธิบายไปพร้อมคำอธิบายว่าจะทำอย่างไรให้ไปสู่เป้าหมายได้
เช่น การกำหนดกรอบเงินเฟ้อทั่วไปที่ 1-3% ที่ตกลงร่วมกันกับกระทรวงการคลัง ที่ครม. รับทราบ หากไม่เป็นไปตามกรอบก็ไม่ได้บอกว่าเป็นความผิดแบงก์ชาติ เพราะหลายสถานการณ์อาจไม่ได้เป็นไปตามคาดหวัง กรณีวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้เงินเฟ้อผิดเป้าหมายได้
โฆษณา