13 พ.ค. เวลา 08:03 • ประวัติศาสตร์

กระแสความงมงายที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า 100 ปีก่อน เมื่อ “คนเป็น” คลั่งไคล้การติดต่อกับ “คนตาย”

เรื่องการติดต่อกับ “วิญญาณ” หรือ “คนตาย” นั้นมีมานานแล้ว
ในสมัยอาณาจักรโบราณต่างๆ ตั้งแต่เมโสโปเตเมีย กรีซ ไปจนถึงจีน แต่ละที่ก็ล้วนแต่มีความเชื่อเรื่องการติดต่อกับวิญญาณ หากแต่ในแวดวงชาวยิวและชาวคริสต์ ตามบันทึกในพระคัมภีร์นั้น มีบางส่วนระบุว่า การทรงเจ้าเข้าทรงนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม
1
ในประวัติศาสตร์นับพันปีที่ผ่านมา การติดต่อสื่อสารกับวิญญาณอาจจะมีความผิดและมีโทษถึงตาย หากแต่เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 กระแสเรื่องของจิตวิญญาณ การติดต่อสื่อสารกับผู้เสียชีวิต ก็กลายเป็นเทรนด์หรือกระแสที่โด่งดังไปทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา
1
สำหรับกระแสการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณในสหรัฐอเมริกานั้น อาจจะเรียกได้ว่าเริ่มขึ้นที่นิวยอร์กในปีค.ศ.1848 (พ.ศ.2391) โดยมีเด็กหญิงวัย 14 ปีที่ชื่อ “แม็กกี ฟ็อกซ์ (Maggie Fox)” และ ”เคท ฟ็อกซ์ (Kate Fox)” วัย 11 ปี สองพี่น้องที่อ้างว่าได้ติดต่อกับวิญญาณของพ่อค้าที่เสียชีวิตในบ้านตนเมื่อห้าปีก่อน
สองพี่น้องฟ็อกซ์
ทั้งสองพี่น้องได้จัดพิธีติดต่อวิญญาณ โดยได้กล่าวให้วิญญาณช่วยส่งสัญญาณให้รู้ว่าวิญญาณมาปรากฎแล้ว โดยจัดแสดงต่อหน้าเพื่อนบ้าน
ปรากฎว่าหลังจากที่กล่าวจบ ก็มีเสียงเคาะสามครั้งตามที่สองพี่น้องกล่าว ทำให้เพื่อนบ้านต่างเชื่อว่าสองพี่น้องสามารถติดต่อกับวิญญาณได้จริงๆ ทำให้สองพี่น้องโด่งดังและออกทัวร์ทั่วประเทศ
การติดต่อสื่อสารในรูปแบบใหม่นี้เองสร้างความสนใจให้สาธารณชน เนื่องจากเป็นเหมือนการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนาเข้าด้วยกัน โดยมีผู้วิเคราะห์การติดต่อสื่อสารกับคนตายว่าเป็นเหมือนกับโทรเลขที่ต้องใช้รหัสมอร์ส
กระแสการติดต่อวิญญาณนี้ได้แพร่กระจายไปยังอังกฤษ ก่อนจะแพร่หลายไปทั่วยุโรป โดยผู้ที่เชื่อและสนใจก็มีตั้งแต่ชาวบ้านร้านตลาดไปจนถึงชนชั้นสูง
เมื่อถึงยุคค.ศ.1860 (พ.ศ.2403-2412) กระแสเรื่อง “วิญญาณนิยม” ก็เป็นกระแสที่โด่งดังในอังกฤษและฝรั่งเศส และทางด้านสหรัฐอเมริกา การเกิด “สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War)” ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทำให้ญาติและครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหันเข้าหาเหล่าร่างทรง ผู้ที่อ้างตนว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณได้ โดยมีการประเมินว่าสงครามกลางเมืองอเมริกา ทำให้เกิดผู้เชื่อหรือสาวกรายใหม่มากกว่าสองล้านคนเลยทีเดียว
สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War)
เมื่อถึงยุคค.ศ.1880 (พ.ศ.2423-2432) มีผู้ศรัทธาในวิญญาณนิยมในสหรัฐอเมริกาและยุโรปรวมกันกว่าแปดล้านคน แต่เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 20 กระแสวิญญาณนิยมเริ่มจะเสื่อมลง แต่ก็ตีกลับขึ้นมาสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (WWI) และไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ด้วยกระแสความนิยมนี้ ทำให้เกิดการทรงเจ้าเข้าทรงเป็นจำนวนมาก ผู้คนเชื่อว่าตนสามารถติดต่อกับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วได้ และแล้วก็มาถึง “ภาพถ่าย”
ช่างภาพหลายคนอ้างว่าตนนั้นได้ถ่ายภาพติดวิญญาณ โดยในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ช่างภาพชาวอเมริกันที่ชื่อ “วิลเลียม มัมเลอร์ (William Mumler)” ได้ชื่อว่าเป็นช่างภาพคนแรกที่สามารถถ่ายภาพวิญญาณได้สำเร็จ
วิลเลียม มัมเลอร์ (William Mumler)
ภาพที่โด่งดังที่สุดของมัมเลอร์ คือภาพถ่ายติดวิญญาณของ “อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln)” อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดยในภาพนั้น วิญญาณของลินคอล์นยืนอยู่หลังภรรยา และวางมือบนไหล่ของภรรยา
แต่ในทุกวันนี้ เชื่อว่าภาพถ่ายของมัมเลอร์นั้น เกิดจากการใช้เทคนิคภาพซ้อนเพื่อซ้อนภาพลินคอล์นให้เข้าไปอยู่ในภาพ
ในปีค.ศ.1869 (พ.ศ.2412) มัมเลอร์ถูกฟ้องร้องข้อหาหลอกลวง หากแต่ถูกยกฟ้อง แต่ก็ทำให้อาชีพการงานของเขาต้องจบลง
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ก็ได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนออกมาเปิดโปงการทรงเจ้า โดยหาทางพิสูจน์ว่าเสียงหรือปรากฎการณ์ต่างๆ ที่ปรากฎขึ้นนั้น เป็นการใช้เทคนิคหลอกลวง โดยในปีค.ศ.1888 (พ.ศ.2431) สองพี่น้องตระกูลฟ็อกซ์ได้ออกมายอมรับว่าพวกตนนั้นหลอกลวง เสียงที่เกิดขณะทำพิธีสื่อสารกับวิญญาณนั้น ก็เป็นเทคนิคที่พวกเธอทำขึ้น
ภาพวิญญาณลินคอล์นที่มัมเลอร์ถ่ายได้
แต่รายที่ดูจะโด่งดังที่สุดที่ออกมาเปิดโปงก็คือนักมายากลชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการีอย่าง “แฮร์รี ฮูดินี (Harry Houdini)”
1
“เซอร์ อาเทอร์ โคนัน ดอยล์ (Sir Arthur Conan Doyle)” นักเขียนชื่อดังผู้เขียนนิยายนักสืบชื่อก้องโลกอย่าง “เชอร์ล็อค โฮล์มส์ (Sherlock Holmes)” ได้เป็นเพื่อนกับฮูดินีในปีค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) และภรรยาของดอยล์อย่าง “จีน โคนัน ดอยล์ (Jean Conan Doyle)” ก็เป็นผู้ที่สนใจเรื่องการเข้าทรงและเป็นร่างทรงฝึกหัด และได้กล่าวอ้างว่าสามารถรับสาส์นจากมารดาของฮูดินีที่เสียชีวิตไปแล้วได้
แต่สำหรับฮูดินี เมื่อได้อ่านจดหมายที่ภรรยาของดอยล์ส่งให้ โดยอ้างว่าเป็นสาส์นจากมารดาของฮูดินี ฮูดินีก็พบว่าข้อความนั้นไม่มีความคล้ายผู้เป็นมารดาเลย เขาจึงกล่าวประณามการทรงเจ้าอย่างเปิดเผย ทำให้มิตรภาพระหว่างฮูดินีและดอยล์จบลง
ฮูดินี (ซ้าย) ดอยล์ (ขวา)
ฮูดินีกลายเป็นผู้ที่ต่อต้านเรื่องลี้ลับอย่างเปิดเผย และด้วยความที่ตนเป็นนักมายากลชื่อดัง ก็ทำให้ฮูดินีก็รู้ถึงทริคต่างๆ เป็นอย่างดี ซึ่งทริคเหล่านั้น ฮูดินีก็ได้นำมาเปิดเผยไว้ในหนังสือ “A Magician Among the Spirits” ซึ่งตีพิมพ์ในปีค.ศ.1924 (พ.ศ.2467)
1
หลังจากฮูดินีเสียชีวิตในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.1926 (พ.ศ.2469) “เบสส์ ฮูดินี (Bess Houdini)” ภรรยาของฮูดินี ก็ได้ทำพิธีสื่อสารกับวิญญาณของฮูดินีในทุกๆ วันฮาโลวีนของทุกปี โดยก่อนที่ฮูดินีจะเสียชีวิต ฮูดินีและเบสส์ได้กำหนดรหัสลับที่รู้กันเพียงสองคน หากว่าใครคนใดเสียชีวิตและวิญญาณสามารถกลับมาติดต่อสื่อสารได้จริง ก็จะได้ใช้รหัสลับนี้เพื่อรู้ได้ว่าร่างทรงนั้นเป็นของจริงหรือไม่
1
เบสส์ ฮูดินี (Bess Houdini)
เบสส์พยายามติดต่อกับวิญญาณของฮูดินีเป็นเวลานานกว่า 10 ปี หากแต่ฮูดินีก็ไม่เคยติดต่อมาเลย และความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณก็เริ่มเสื่อมลงในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) หากแต่ผู้ที่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณก็ยังคงมีอยู่ และดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน
โฆษณา