14 พ.ค. 2024 เวลา 04:34 • ข่าวรอบโลก
ไอคอนสยาม

ปุถุชนทั่วไป โพธิสัตวบุคคล และอริยบุคคล คืออะไร? แตกต่างกันไหม? เป็นพร้อมๆกันหมดนี่ได้หรือเปล่า?EP2.

ในตอนที่แล้วผู้เขียนได้อธิบายถึงปุถุชนว่าคืออะไร และปุถุชนที่มีสถานะเป็นพระโพธิสัตว์คืออะไร ในตอนที่สองนี้ผู้เขียนจะขออธิบายให้ทุกท่านได้รู้จักกับพระอริยบุคคลทั้งสี่ประเภท ได้แก่ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีและอรหันต์
อริยบุคคล หมายถึง บุคคลผู้ประเสริฐ ทางพุทธศาสนาถือว่าความเป็นพระอริยบุคคลนั้น กำหนดได้ด้วยการละสังโยชน์ (กิเลสที่ผูกมัดสัตว์) ไว้ในภพ ใครละได้น้อยก็เป็นอริยบุคคลชั้นต่ำ เมื่อละได้มากก็เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้น ใครละได้หมดก็เป็นพระอรหันต์ สังโยชน์มี 10 อย่าง เทียบตามส่วนที่พระอริยบุคคล ละได้เป็นลำดับดังนี้
1. พระโสดาบัน ละสิ่งดังต่อไปนี้
1) สักกายทิฏฐิ – ความเห็นว่าร่างกายเป็นของตน
2) วิจิกิจฉา – ความสงสัยว่าพระรัตนตรัยดีจริงหรือ
3) ศีลพตปรามาส – การเชื่อพิธีกรรมทางไสยศาสตร์,พิธีบวงสรวงทวยเทพ และเชื่อในการทำนายทายทัก
เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ แล้วจะบรรลุนิพพาน คือพระอรหันต์
2. พระสกทาคามี ละขั้นพระโสดาบัน แต่จิตคลายจากราคะ โทสะ และโมหะมากขึ้น เมื่อบรรลุเป็นพระสกทาคามี จะเกิดอีกครั้งเดียว
3. พระอนาคามี ละขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และรวมอีก 2 คือ
4) กามราคะ – ความติดใจในกามารมณ์
5) ปฏิฆะ – ความขัดเคืองใจ
เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามี จะเลิกครองเรือน ประพฤติพรหมจรรย์ ตายแล้วจะไปเกิดในพรหมโลก โดยไม่กลับมาเกิดในภพภูมิอื่นที่ต่ำกว่าพรหมโลกชั้นสุทธาวาสอีกแล้ว
4. พระอรหันต์ ละขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และรวมอีก 5 คือพระอริยบุคคล
6) รูปราคะ – ความติดใจในรูป เช่นชอบของสวยงาม
7) อรูปราคะ – ติดใจในของไม่มีรูป เช่นความสรรเสริญ
8) มานะ – ความยึดถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นติดในสมณศักดิ์ ยศถาบรรดาศักดิ์
9) อุทธัจจะ – ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ไม่สงบใจ
10) อวิชชา – ความไม่รู้อริยสัจสี่
เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ หากสิ้นชีวิตแล้วจะไม่เกิดอีก
ที่มา https://www.lib.ru.ac.th/miscell2/?p=855
จะเห็นได้ว่า พระอริยบุคคลจะอยู่คนละสถานะกับพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะไม่บรรลุธรรม เพราะถ้าบรรลุธรรมแล้วจะพ้นจากสภาพความเป็นโพธิสัตว์แล้วเข้าสู่โสดาบัน สกิทาคามีและอนาคามี ท้ายสุดคืออรหันต์ได้เลยในชาติเดียวกันทั้งหมด(ซึ่งจะเป็นชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์) ดังนั้นพระโพธิสัตว์จึงยังมีกิเลสทั้ง 10 อย่าง(สังโยชน์ 10)อยู่ เพียงแต่ว่าจะเป็นสังโยชน์ที่ยึดติดในความดีมากกว่า คือต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็นหลัก มีจิตใต้สำนึกเป็นความเมตตานำอยู่คู่กับสติปัญญา
1
ที่สำคัญพระโพธิสัตว์ต้องมีอภิมหา-มุมานะ(กิเลสด้านดี)ในการช่วยเหลือเผื่อแผ่ให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์ มีความเห็นใจต่อสรรพสัตว์เหลือประมาณ จนตั้งจิตอธิษฐานขอช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นภัยจากวัฏสงสาร แม้จะต้องตกนรก ต้องเป็นเดรัจฉานหรือเป็นเปรต พระโพธิสัตว์ก็ยอม ถือได้ว่าพระโพธิสัตว์เป็นผู้มีจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและการให้อย่างแท้จริงประดุจดั่งพระแม่ธรณี
ในพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนั้น พระโพธิสัตว์ คือ บุคคลผู้บำเพ็ญบารมีธรรมอุทิศตนช่วยเหลือสัตว์ผู้มีความทุกข์ยากและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ไม่ต่างกับคติของฝ่ายมหายาน
ด้วยความรักในพระโพธิญาณพระโพธิสัตว์จึงสามารถกระทำได้ทุกอย่าง เบื้องต้นแต่สละได้ซึ่งสิ่งของภายนอกจนถึงชีวิตและสิ่งเสมอด้วยชีวิตคือบุตรและภรรยาของตน ดังตัวอย่างพุทธดำรัสที่ตรัสในขณะเสวยพระ ชาติเป็นพระโพธิสัตว์ความว่า เมื่อเราจะให้ทานก็ดี กำลังให้ทานก็ดี ให้ทานแล้วก็ดีจิต ของเราไม่เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
(ขุ.จริยา. ๓๓ / ๖๖ / ๗๓๖)
จักษุทั้งสอง เป็นที่น่าเกลียดชังสำหรับเราก็หาไม่ แม้ตัว เราเองจะเป็นที่เกลียดชังก็หาไม่ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็น ที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้จักษุ ฉะนี้แล
(๓๓ / ๖๖ / ๗๓๖) เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่รักษาชีวิตของเรา เพราะใน กาลนั้นเราเป็นผู้รักษาศีล เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
(๓๓ / ๖๕ / ๗๕๔) ที่มา : https://www.thaicadet.org/Buddhism/Bodhisattva.html
อย่างไรก็ตาม คำว่าพระโพธิสัตว์มาจากศัพท์สองศัพท์ประกอบกันคือ คำว่าโพธิ ที่แปลว่าความตรัสรู้กับสัตตะ,สัตวะ ที่แปลว่า สัตว์ในคำที่เรียกว่าสัตว์โลก (วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๓๒: ๒๙) อันมีความหมายครอบคลุมทั้งมนุษย์ ทิพยชีวิต และสัตว์เดรัจฉานซึ่งจะเห็นได้จากอดีตชาติของพระพุทธเจ้า กล่าวคือ นอกเหนือจากที่พระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นมนุษย์แล้ว บางพระชาติพระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพญาวานร เสวยพระชาติเป็นช้าง เสวยพระชาติเป็นนาคราชเป็นต้น
พระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะครองสภาวะความเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็บำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย เพราะคำว่า "โพธิสัตว์" หมายถึงผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ คือ การตรัสรู้ โดยไม่ได้มีเป้าหมายเป็นอย่างอื่น เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความรู้แจ้งโลก ซึ่งหมายรวมถึงโลก ทั้ง ๓ คือ
- สัตว์โลกอันได้แก่ หมู่สัตว์ ชนิดต่าง ๆ รวมทั้งเทวดา มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน
- โอกาสโลกอันได้แก่ โลกคือที่อยู่อาศัย หมายถึง ระบบจักรวาล และดวงดาวต่าง ๆ - สังขารโลกอันได้แก่ โลกคือสังขารที่เกิดจากการปรุงแต่ง สรุปให้แคบเข้า ได้แก่ นามรูป นั่นเอง (บรรจบ บรรณรุจิ, ๒๕๒๙:๙-๑๐)
การที่บุคคลได้บรรลุถึงพระโพธิญาณ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นได้ยาก (กิจโฉ พุทธานมุปปาโท) ดังนั้น บุคคลผู้จะบรรลุ พระโพธิญาณได้นั้นจึงจำต้องบำเพ็ญบารมีธรรมเป็นเวลานานยิ่ง เมื่อบุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ นั้นหมายความว่าเขาย่อมต้องประสบกับความลำบากในชีวิตนานับประการ นับตั้งแต่การต้องจำยอมสละทรัพย์สินภายนอกร่างกายเป็นเบื้องต้น จนถึงการยอมสละชีวิตของตนเข้าแลกเป็นที่สุดและการปฏิบัติเช่นนั้นก็ต้องประกอบไปด้วยความเต็มใจของตน
หากไม่สามารถปฎิบัติได้ ความเป็นพระโพธิสัตว์ในตัวบุคคลนั้นก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แม้พระโพธิสัตว์จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องแลกด้วยชีวิตแต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่หวาดหวั่นต่อสถานการณ์เช่นนั้น ตรงกันข้ามพระโพธิสัตว์กลับมีใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ประสบอย่างเต็มใจ และยินดีด้วยมุ่งมั่นที่จะอุทิศตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยหวังให้คุณธรรมความดีที่บำเพ็ญนั้นเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณในกาลเบื้องหน้า ที่มา : https://www.thaicadet.org/Buddhism/Bodhisattva.html
พระธัมมปาละ ระบุไว้ในอรรถกถาสโมทานกถา (ในปรมัตถทีปนี) ว่าพระโพธิสัตว์มี 3 ประเภท คือ
พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัจเจกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระสาวกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระอนุพุทธะ
ส่วนพระพุทธโฆสะแบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทด้วยการชี้บ่งผ่านพุทธพยากรณ์ คือ 1-อนิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
นิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดล้มเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
ด้วยความที่มีอภิมหามุมานะปณิธานแรงกล้า(กิเลสด้านดีมากล้น) ทำให้พระโพธิสัตว์ปรารถนาพระโพธิญาณมากล้น เพื่อมุ่งไปสู่การได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าก็แล้วแต่ แต่ข้อเสียคือจะต้องใช้เวลายาวนานมากนับมหาอสงไขย จนนับไม่ถ้วนจบ ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าและผจญกับภัยในวัฏสงสาร ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งยวดที่อาจพลาดพลั้งไปตกทุคติ วินิบาต นรก
แม้แต่พระสมณโคดมศากยมุนีพุทธเจ้าของชาวพุทธเรา ก็เคยตกนรกมานับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังความหนึ่งในปุพพกรรมปิโลติพุทธปทาน .. มีเนื้อความดังต่อไปนี้ "ในชาติอื่นเมื่อกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจก
พุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น(เศษกรรม) ในภพหลังสุดนี้
เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา...
...เพราะการกล่าวตู่พระเถระ
นามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึง
ท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน
ถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผล
กรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง...
...ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์
จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด...
...ในกาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วย
หอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก
ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้า..." (บางส่วนของปุพพกรรมปิโลติพุทธปทาน)
ส่วนพระอริยบุคคลตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไป (ฆราวาสก็เป็นอริยบุคคลได้นะ) คือผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ
จริงๆแล้วคือ "การตัดสินใจที่จะออกจากสังสารวัฏ" นั่นเอง (ออกจากเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องดิ้นรน)
เป็นผู้ ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างที่สุด
"อริยบุคคลจึงไม่ปรารถนาพระโพธิญาณอีกแล้วครับ"
(มีพระโสดาบัน หรือพระอริยเจ้าจำนวนมากครับ ที่เดิมเป็นพระโพธิสัตว์แต่เลี้ยวเข้าหามรรคผลเสียก่อน
ก็... ภัยในสังสารวัฏมันน่ากลัวนี่... )
ดังนั้นคติของเถรวาทหรือ-ศาสนาพุทธเดิมแท้จึงสอนว่า ให้ละสังโยชน์สิบ แล้วรีบหนีไปจากวัฏสงสารให้เร็วที่สุด เพราะวัฏสงสารนั้นอันตราย อาจจะทำให้เราลงทุคติ วินิบาต นรก อบาย ได้ทุกเมื่อ-แม้ว่าท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ตาม เพราะพระโพธิสัตว์ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ที่เต็มไปด้วยกิเลสด้านดี(ปรารถนาดีเหลือล้น ยึดมั่นในความดีงาม) ทว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยบีบบังคับให้จำต้องทำผิดบาป บางครั้งพระโพธิสัตว์ก็จะเผลอทำผิดทำบาปจากกิเลสที่เข้ามากล้ำกรายรบกวน ดั่งตัวอย่างเช่นในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าของเรานั่นเองครับ
ตัวอย่างการผิดบาปของพระโพธิสัตว์ ก็อาทิเช่น ในชาติก่อนๆตั้งปณิธานและความเห็นใจช่วยเหลือนำส่ำสัตว์ก้าวข้ามวัฏสงสาร และทำบารมีต่างๆได้ดี ทำสโมธานต่างๆได้ดี แต่มีเหตุให้ต้องแค้น เพราะมีคนมาสังหารแม่ของตนต่อหน้าตน จึงตามไปสังหารครอบครัวของฆาตกรยกครัว ชาติถัดไปจึงต้องไปเกิดเป็นอันธพาลติดยา โดยที่โดนบาปบดบังเอาไว้จนปณิธานถูกกดทับจนไม่งอกขึ้น เมื่อติดยาก็เผลอลักขโมย เผลอทำร้ายร่างกายบุตรธิดา เมื่อสิ้นชีพลงก็ไปเกิดในนรกต่อ พอสำนึกผิดก็เกิดระลึกขึ้นมาได้ว่าตนเคยอธิษฐานไว้ว่าอยากจะบรรลุโพธิญาณ
แต่กว่าจะรู้ตัว กว่าเวลาจะล่วงเลยก็ผจญอยู่ในห้วงภยันตรายแห่งสังสารวัฏจนท้อแล้ว ท้ออีก ทุกข์ทรมานนานัปการ เพื่อที่จะได้สัมโพธิญาณในการตรัสรู้พระพุทธภูมิ โดยไม่สนใจภัยในการเวียนว่ายตายเกิดครับ พระโพธิสัตว์จึงต้องประสบอุปสรรคความยากลำบากค่อนข้างมากมายเพื่อจะบรรลุพุทธปณิธานอันแสนยิ่งใหญ่นั่นเอง
ดังนั้นคุณธรรมแบบพระโพธิสัตว์จึงมีความเสียสละมากกว่าเพราะมุ่งหมายจะพาสรรพสัตว์ไปสู่แดนนิพพานให้ได้ครั้งละมากๆนั่นเอง แต่พระอริยะต่างๆจะเป็นผู้รู้ภัยในวัฏสงสาร จึงไม่มีทางที่จะปรารถนาพระสัมโพธิญาณได้ เพราะธรรมชาติของพระอริยะคือไม่มีฉันทะ ตัวอย่างเช่น ไม่ยึดมั่นในกายว่าเป็นของตน ไม่สงสัยในพระไตรรัตนะว่าดีจริงหรือ ไม่ยึดมั่นในโหรา-ไสยศาสตร์โชคลางพิธีกรรม เป็นต้น
1
โฆษณา