15 พ.ค. เวลา 14:50 • กีฬา

สเตฟาน ออร์เตก้า : จากโกลมือ 2 ลีกรองเยอรมัน สู่ผู้(กำลังจะ)เซฟแชมป์ลีกให้แมนซิตี้ | Main Stand

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือผู้รักษาประตูที่เล่นจังหวะดวลหนึ่งต่อหนึ่งได้ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ออร์เตก้า เซฟเกมนี้เอาไว้ ถ้าไม่มีเขา อาร์เซน่อล จะเป็นแชมป์ลีกอย่างแน่นอน" เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กล่าวชมประตูมือ 2 ของเขาไม่หยุดปาก หลังจาก สเตฟาน ออร์เตก้า เซฟลูกยิงหลุดเดี่ยวของ ซน ฮึง มิน ในช่วงท้ายเกมที่สุดแสนจะสำคัญ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อเราย้อนประวัติกลับไปดูเรื่องของของ ออร์เตก้า พบว่าเขามีเรื่องน่าสนใจมากมาย เขาเคยเล่นแม้กระทั่งในลีกา 3 เยอรมัน และเคยเป็นเพียงโกลสำรองในลีกกาสองเมื่อไม่กี่ปีก่อนอยู่เลยด้วยซ้ำ
อะไรนำมาพาเขามานี่ที่นี่ สโมสรที่ดีที่สุดของโลกในยุคปัจจุบันเห็นอะไรในตัวเขา ... นี่คือเรื่องราวของชายผู้แจ้งเกิดเต็มตัวในวัย 31 ปีอย่าง สเตฟาน ออร์เตก้า
ติดตามทั้งหมดที่ Main Stand
ที่เยอรมัน เราไม่ใช้ประตูตัวเล็ก
"ในซัมเมอร์ปี 2022 เป็นเรื่องที่นึกว่าเป็นการล้อกัน ตอนนั้นผมตกชั้นกับ บีเลเฟลด์ และหมดสัญญา ตอนนั้นผมค่อนข้างจะยาวนานเลย เพราะเราต้องหาสโมสรเล่นแน่ ๆ" ออร์เตก้า เล่าถึงวันแรกที่ แมนฯ ซิตี้ ติดต่อเขาเข้ามา
"ที่เยอรมันผมเคยถูกตั้งคำถามเสมอว่า ออร์เตก้า ทำได้ดีแต่ในลีกา 2 พอขึ้นมาลีกสูงสุดเขาจะทำได้เหรอ ? เขาตัวเล็กเกินไปหรือเปล่า ... แต่วันที่ แมนฯ ซิตี้ ติดต่อมา พวกเขาบอกว่า เราไม่สนว่าคุณเล่นให้สโมสรไหน และไม่ว่าคุณจะสูงแค่ 185 เซนติเมตร
เราดูคุณมานาน และรู้จักคุณในฐานะคน ๆ หนึ่งและผู้รักษาประตูมากพอแล้ว คุณคือคาแร็คเตอร์ที่เราตามหาในกลุ่มผู้รักษาประตูของเราชุดนี้" นี่คือสิ่งที่ ซาบิเอร์ มานซิซิดอร์ โค้ชผู้รักษาประตู พูดกับ ออร์เตก้า ก่อนเขาจะตัดสินใจเซ็นสัญญา และรอวันของตัวเอง จนมาถึงเกมรองสุดท้ายของ ซีซั่น 2023-24 เมื่อคืนนี้
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อนถ้าเดาจากชื่อ สเตฟาน ออร์เตก้า ไม่มีทางเดาถูกว่าเขาจะเป็นคนเยอรมันแน่ ๆ แต่นั่นคือความจริง โดยเขามีพ่อเป็นชาวสเปน และมีแม่เป็นชาวเยอรมัน
มันคงจะดีถ้าเขาเลือกเล่นในตำแหน่งอื่นนอกจากผู้รักษาประตู เพราะตอนเด็ก ๆ เขาตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นมาก ดังนั้น ออร์เตก้า จึงไม่ใช่เด็กที่โตในอคาเดมี่ของทีมใหญ่ เพราะไม่สามารถคัดตัวผ่านไปเลย โดยสโมสรแรกของเขาคือ TSV Jahn Calden ทีมระดับลีกท้องถิ่น และค่อย ๆ ขยับเข้าความใกล้เคียงกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพมากขึ้น จากการถูก อาร์เมเนีย บีเลเฟลด์ ดึงตัวมาร่วมทีม ในปี 2010 โดยโดนส่งไปเล่นทีมสำรองก่อนในลีกสมัครเล่นก่อน (ริจิโอนาลีกา)
ในลีกท้องถิ่น ออร์เตก้า ทำได้ดี และสโมสรโปรโมตเขาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ตอนอยู่ในระดับลีกา 3 ปีแรกเขาเป็นตัวจริง แต่อย่างที่เขาได้บอกว่าปัญหาคือที่ เยอรมัน ผู้รักษาประตูส่วนใหญ่มักจะตัวใหญ่ และประตูที่สูง 180 ต้น ๆ อย่าง ออร์เตก้า จะต้องเจอปัญหา เขาทำพลาดลูกกลางอากาศและดรอปไปเป็นตัวสำรอง แม้กระทั่งตอนที่เล่นระดับที่ต่ำแค่นั้น
"ผมจำได้ว่า แพทริก พลาตินส์ ทำผลงานได้ดีมาก ผมต้องตกมาเป็นตัวสำรอง แต่ผมทำงานหนักตลอดนะ โค้ชของเรา เขาบอกกับผมว่าทำให้พร้อม ถ้าโอกาสมาถึงผมจะได้รับโอกาสแน่ ซึ่งจากนั้นไม่นาน พลาตินส์ ก็เจ็บ ผมลงเล่นแทนเขา 3-4 นัด และผลงานดีมาก มีคนชมผมเยอะเลย แต่พอ พลาตินส์ หายเจ็บ เขากลับถูกส่งลงสนามตัวจริงแทนผมทันที ทั้ง ๆ ที่ผมฟิตพร้อมทุกอย่าง ผมคิดว่านั่นไม่แฟร์" ออร์เตก้า เล่าย้อน
"ผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นผมพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ที่จำได้เลยคือผมมีน้ำตาจากเหตุการณ์นั้นเลย ผมขอย้ายออก แล้วผมก็ย้ายไปอยู่กับ 1860 มิวนิค" ออร์เตก้า กล่าว
ที่ 1860 ทีมเก่าแก่ของประเทศ มีปัญหาเกิดขึ้นตามเคย ออร์เตก้า ตั้งเป้าไว้ที่การเป็นมือ 1 แต่ด้วยความเป็นดาวรุ่ง เขาขึ้นชั้นไม่ได้เพราะมีประตูวัยเก๋าอย่าง กาบอร์ คิราลี่ ตำนานทีมชาติบัลแกเรีย เป็นมือ 1 ขวางทางอยู่ ตอนนั้นเขาจะถอดใจอยู่แล้ว แต่ก็สู้อยู่ที่นั่น 3 ปี โดยไม่มีปีไหนที่ลงเฝ้าเสาเป็นมือ 1 เต็มตัวเลย
"สิ่งต่าง ๆ เป็นไปได้ไม่ค่อยดีนัก ผมเป็นคนอายุ 20 กลาง ๆ ต้องการลงเล่นมากกว่านี้ ผมคิดในใจว่าผมจะยอมแพ้และขอไปเล่นกับทีม ดิวิชั่น 3 เหมือนเดิมยังดีเสียกว่า" ออร์เตก้า ว่าเช่นนั้น
หลังหมดสัญญา 3 ปี กลายเป็นว่า บีเลเฟลด์ ทีมเก่าของเขาติดต่อกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากกุนซือเก่าที่มีปัญหากันออกไปแล้ว และทีมก็มองหาผู้รักษาประตูมือ 1 คนใหม่ เพราะ พลาตินส์ ที่แก่กว่า ออร์เตก้า 10 ปี ประกาศแขวนถึงมือไปพอดี และการกลับมาหนนี้ มันมีความต่างบางประการที่ทำให้เขาทำผลงานเตะตาทีมแมวมองของ แมนฯ ซิตี้
บีเลเฟลด์ รอบที่ 2
คนที่แนะนำให้ บีเลเฟลด์ เอาตัว ออร์เตก้า กลับมาคือมาร์โก คอสต์มันน์ โค้ชผู้รักษาประตู ที่เห็นกันมาตั้งแต่ดาวรุ่ง เขากลับมาหนนี้และเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 และกลายเป็นคนสำคัญของทีมได้สมใจ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องฟลุก ใน และ นอกสนาม ไม่ว่าจะเรื่องไหน ออร์เตก้า เปลี่ยนแนวคิดในการทำงานใหม่หมด
"ตอนกลับไปที่ บีเลเฟลด์ ครั้งนั้นผมกล้าพูดเลยว่าผมใส่ความเป็นมืออาชีพไปเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ ผมตั้งใจฝึกซ้อมมากขึ้น กินอาหารดีขึ้น ผมพลิกชีวิตส่วนตัวด้วย ผมโตขึ้นมาในปีนั้นเพราะผมแต่งงาน และเราก็มีลูกสาวด้วยกัน นั่นเปลี่ยนผมไปจริง"
บางครั้งคนเราก็ต้องมองย้อนกลับไปพิจารณาตัวเองในอดีต จึงได้เห็นความผิดพลาดในแบบที่ตัวเราในตอนนั้นไม่เคยเห็น ออร์เตก้า ก็เป็นแบบนั้น เขาพิจารณาและพบว่าเขาในช่วงดาวรุ่งเอาแต่ใจมากเกินไป ให้ความสำคัญกับทีมน้อยเกินไป และพร้อมจะระเบิดอารมณ์เดือดใส่ทุกคนเวลาที่อะไรไม่เข้าหู
1
"ผมตกผลึกกับชีวิตแบบที่สุด ผมเข้าใจว่านี่คือโอกาสสุดท้ายในอาชีพ ผมเลยตัดสินใจทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ผมอยากเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่อยากได้ยินอีกแล้วที่ใครบอกว่า ออร์เตก้า เป็นผู้รักษาประตูที่ดีมีพรสวรรค์ แต่มันไม่มากพอที่จะทำให้เขาได้ลงเล่น" เขายอมรับอย่างรู้ตัว
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง คุณจะเห็นอะไรมากมายที่ไม่เคยเห็น ออร์เตก้า เริ่มใหม่และรอบนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ดี เขาพาใช้เวลาเฝ้าเสาให้ บีเลเฟลด์ อยู่ 3 ปี ก็พาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ และในช่วงหลังจากนั้นมีการพูดถึงเขามากขึ้นบนหน้าสื่อ การเล่นในสไตล์สวีปเปอร์คีปเอร์ หรือ "เพลย์เมคเกอร์ในกลุ่มผู้รักษาประตู"
ตามที่ Kicker เขียน โดยในปี 2020-21 ที่ บีเลเฟลด์ เล่นใน บุนเดสลีกา ออร์เตก้า เคยโดนสื่อเจ้านี้เขียนชมว่า ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในครึ่งซีซั่นแรก และนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ แมนฯ ซิตี้ ติดตามดูฟอร์มของเขา
"ผมคิดว่าผมเป็นส่วนผสมที่ดีสำหรับเกมฟุตบอลยุคใหม่ บทบาทที่ผมได้รับตอนนั้นเหมาะกับตัวผมมาก(สวีปเปอร์ คีปเปอร์) ผมสนุกกับการเล่นแบบนั้น มันเสี่ยง แต่มันท้าท้าย ช่วงที่อยู่กับ บีเลเฟลด์ ในบุนเดสลีกา ถือเป็นขวบปีที่ยกระดับการเล่นของผมขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง"
ช่วงเวลานั้นประจวบเหมาะกับที่ แมนฯ ซิตี้ กำลังมองหาผู้รักษาประตูมือ 2 ของทีมคนใหม่ แซ็ค สเตฟเฟ่น มือ 2 คนเดิมอายุยังน้อย และต้องการโอกาสลงเล่นที่มากกว่านี้ ดังนั้น เป๊ป จึงส่งให้ ซาบี (ซาบิเอร์ มานซิซิดอร์ ) เปิดลิสต์ผู้รักษาประตูที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นมือ 2 ของเรือใบสีฟ้า สามารถเล่นบอลกับเท้าได้ดี มีทักษะในการซึมซับแท็คติกได้ดี และนิ่งพอเผชิญหน้ากับความเสี่ยง ...
ดังนั้นเมื่อ ออร์เตก้า หมดสัญญา ซาบี จึงเข้ามาติดต่อกับ ออร์เตก้า และสุดท้ายเขายอมย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ ทั้ง ๆ ที่สโมสรอื่นในเยอรมันยังต้องการให้เขาเป็นมือ 1 ของทีมก็ตาม
ออร์เตก้า พูดถึงการย้ายทีม ณ ตอนนั้นว่า ในขณะที่ผู้คนอาจจะไม่ได้สนใจเขา แต่เขาจะใช้เวลาเพื่อยกระดับตัวเองเพื่อไม่ต้องเป็นตัวสำรองตลอดไป "คุณวางเป้าหมายไว้อย่างไรในเมื่อคุณมี เอแดร์ซอน ขวางทางอยู่ ?" นักข่าวถามกับเขาก่อนที่ ออร์เตก้า จะตอบว่า "เขาเป็นผู้รักษาประตูที่ดีนะ ... แต่เป้าหมายของผมคือการขึ้นมาเป็นมือ 1 ของทีมอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ย้ายมาที่นี่" เขาทำให้ทุกคนสนใจขึ้นมาจากบทสัมภาษณ์นั้น แต่ใครจะคิดว่า ออร์เตก้า จะมีส่วนสำคัญกับ แมนฯ ซิตี้ มากถึงขนาดนี้ ?
ยกระดับอีกขั้นกับทีมที่ดีที่สุดในโลก
ที่ แมนฯ ซิตี้ ทุกอย่างยิ่งใหญ่เหนือกว่าที่ บีเลเฟลด์ มาก ทั้งขนาดสนามซ้อม ทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ช การซ้อมที่เข้มข้น นักเตะถูกสั่งให้สนใจแต่เรื่องของฟุตบอลเท่านั้น เพราะที่นี่มีพนักงานจัดการให้คุณทุกอย่างไม่ว่าคุณจะอยากได้อะไรนอกสนาม โทรทัศน์ จัดการเรื่องวีซ่า หนังสือเดินทาง ทุกอย่างที่คุณต้องการ ....ที่บีเลเฟลด์ ก็มี แต่มีแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ แมนฯ ซิตี้ มีแผนกดูแลนักเตะในทีมเป็นสิบ ๆ คน
"ที่แมนฯ ซิตี้ เรื่องราวมากมายในการปรับตัวเกิดขึ้น ความสะดวกสบายบริการให้คุณทุกอย่าง พวกเขาช่วยเหลือนักเตะต่างชาติที่ย้ายมาใหม่ได้ดีจริง ๆ ช่วง 2-3 เดือนแรกมันยากสำหรับนักเตะที่ย้ายประเทศ แต่แมนฯ ซิตี้ ทำให้มันง่ายดายขึ้นมาก" ออร์เตก้า ว่าแบบนั้น และสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งกว่าความสะดวกสบายคือ "เป๊ป กวาร์ดิโอล่า" กุนซือของทีมนั่นเอง
"ฟุตบอลของ เป๊ป คืออะไรที่สดใหม่และคุณจะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ตั้งแต่ผมรู้จักเขามีอะไรแตกต่างและแปลกใหม่ให้เห็นเสมอ ผมดูฟุตบอลและวิเคราะห์เกมต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาให้ผมซ้อมในสนามให้มาก และยังให้ผมดูฟุตบอลเยอะ ๆ ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับตัวเอง"
"ผมยกตัวอย่างได้เพียบเลยว่า เป๊ป เปลี่ยนอะไรในตัวผมบ้าง แต่ที่แน่และมหัศจรรย์ที่สุดคือเขาทำให้ฟุตบอลเป็นเรื่องง่าย ภายใต้สิ่งที่หลายคนบอกว่ามันสลับซับซ้อน เราแบ่งสนามออกเป็นสามส่วน เป้าหมายคือการเล่นเป็นทีมในแต่ละส่วน และค่อย ๆ กินพื้นที่ไปยังส่วนอื่น ๆ เช่นเดียววันกับตอนที่เราเสียบอลเราก็จะถอยลงมาเป็นทีม" ออร์เตก้า อ่านเกมตลอดเวลา ซึ่งมันเห็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเห็นเขาได้ลงเล่นที่ไรก็สามารถแทน เอแดร์ซอน อย่างไร้รอยต่อได้เป็นประจำ
การเป็นมือ 2 นั้นยากพอสมควร ออร์เตก้า เล่าว่าแม้จะตั้งเป้าไว้ที่มือ 1 แต่เมื่อผ่านเกมฤดูกาล 2022-23 ไป 3-4 เดือนเขาก็ยังไม่ได้เล่นเลย เขาไปถามกับ ซาบี ว่า "ทำไม?" หลังจากนั้นเขาจึงได้รู้ เมื่อถึงเวลาที่เขาได้ลงสนามในเกมกับ เวสต์แฮม ที่เป็นเกมแรกที่ทำให้เขารู้จักฟุตบอลอังกฤษ
"ในเกมนั้นกับ เวสต์แฮม อันโตนิโอ กระแทกผมล้มลงบ่อยมาก ผมยกมือถามผู้ตัดสินว่าไม่เห็นเหรอเขาทำอะไร ? ก่อนที่เขาจะตอบกลับว่า เห็น แต่มันไม่ฟาวล์" ออร์เตก้า เล่าย้อน
"ผมเคยบอกซาบี ว่าลีกอังกฤษมันแปลกมาก แต่เขาบอกว่าไม่ต้องกังวล ผมจะรู้จักฟุตบอลที่นี่ดีขึ้นแน่ แค่ตั้งใจทำงานของตัวเอง... จากนั้นเขาบอกว่าโอกาสของผมจะมาถึงแน่ และไม่นานนัก เป๊ป ก็มาพูดกับผมก่อนเกมแชมเปี้ยนส์ลีกกับ ดอร์ทมุนด์ ว่า คุณจะได้ลงเล่น"
ปีแรก ออร์เตก้า ถือเป็นคนสำคัญในกลุ่มผู้รักษาประตู และได้คำชมจาก ซาบี มากที่สุด ฤดูกาล 2022-23 เขาลงเล่นไป 15 เกม และลีลาการเซฟของเขามีมากมายให้น่าสดจำจนสือบางเจ้าบอกว่าเขาเป็นมือ 2 ที่ดีที่สุดในยุโรป หลังมีส่วนในทีมชุด 3แชมป์ และในเกมนัดชิง เอฟเอ คัพ 2022-23 ก็ชัดเจนว่า เขาคือมือ 2 ที่ แมนฯ ซิตี้ ตามหาจริง ๆ ด้วยการโยนบอลยาวจากหน้าประตูตัวเอง และเป็นจุดเริ่มต้นของประตูแรกของ อิลคาย กุนโดกัน
"การมาที่นี้มีทั้งความเหนื่อยและสนุกในเวลาเดียวกัน คุณต้องเรียนรู้เลยว่าสโมสรแห่งนี้คือมืออาชีพขั้นสุดยอด ก้าวหน้ามาก ๆ แต่ผมบอกตัวเองเสมอว่าเราไม่ใช่เครื่องจักร ผมไม่กดดันตัวเองจนเกินไป วันไหนที่ผมรู้สึกไม่สบายทั้งกายและใจ ผมจะบอกตรง ๆ กับ ชาบี เสมอ"
"พวกเราจะต้องอยู่กับฟุตบอลตลอด 24 ชั่วโมง มีการถูกประเมิณตลอดเวลา โดนวิจารณ์ในอินเตอร์เน็ต แต่เราควรเว้นว่างให้กับชีวิตส่วนตัวด้วย ผมพยายามทำให้ตัวเองสบายใจเสมอแม้อยู่กับทีมที่มีความกดดันที่สุดในโลก ... เมื่อมีโอกาสก็ทำมันอย่างเต็มที่ และเมื่อต้องนั่งรอก็ทำตัวให้พร้อมตลอดเวลา"
ตอนนี้กับ แมนฯ ซิตี้ เขาแจ้งเกิดแล้วจากการทำตัวให้พร้อมตลอดเวลา เขาคือผู้รักษาประตูขาประจำในบอลถ้วย และเป็นคนลงสนามแทนในวันที่ เอแดร์ซอน ไม่พร้อมลงเล่น ซึ่งถึงตอนนี้แฟนแมนฯ ซิตี้ ก็หมดความสงสัยในตัวเขาแล้ว
ผู้รักษาประตูที่เคยเล่นเป็นตัวสำรองในลีกรองของเยอรมันจนต้องย้ายหนีคนนี้ เจอตัวเองและแนวทางการใช้ชีวิตที่เหมาะกับตัวเองอย่างที่สุด ผลักดันตัวเองในทุกวัน แต่ก็ใส่ใจสุขภาพจิตของตัวเอง และครอบครัวอยู่เสมอ เพราะชีวิตที่ดีและสงบสุข จะทำให้คุณโฟกัสกับงานได้ดีมากขึ้น ... นี่คือเรื่องราวทั้งหมดของเขาที่ตั้งเป้าไว้ที่การเป็นมือ 1 ของ แมนฯ ซิตี้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง :
โฆษณา