22 พ.ค. 2024 เวลา 06:52

[หยุดคิดเรื่องของคนอื่น]

ต้องบอกว่านี่อาจจะเป็นการทดลองที่ไม่ได้ถึงขนาดสร้างชาติ หรือสร้างงานสร้างอาชีพอะไรทั้งนั้น ถ้าจะให้เหมาะ คงเป็นได้แค่การสร้างนิสัยใหม่ๆ ให้ตัวเองมากกว่า เพราะผลของการทดลองคงไม่ได้ตกเป็นของใครนอกจากตัวเอง
เรื่องของเรื่องคือ วันก่อนระหว่างขับรถกลับบ้าน เราถือโอกาสคุยกับคนใกล้ตัวเรื่องการจัดการอารมณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไปด้วย เพราะรู้ตัวว่าทุกวันนี้ เจอสารพัดเรื่องถาโถมเข้ามาแบบเกินต้านไม่เว้นแต่ละวัน คุยไปคุยมา เราก็เริ่มพูดถึงคนนั้นคนนี้ที่เราเห็นเรื่องราวของเขาผ่านโลกโซเชียล รวมไปถึงเรื่องราวของคนดังมากมาย ที่อัลกอริทึ่มเลือกมาให้เราอ่านและดูซ้ำๆซากๆ (แล้วเราก็บ้าจี้ตามอ่านตามดูไปเรื่อยเปื่อยอีกต่างหาก)
ปัญหาของความรู้สึกวุ่นวายทางใจ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการรับมาแล้วไม่ปล่อยไป แต่กลายเป็นรับแล้วเอามาปรุงต่อนี่ละ ปรุงแล้วยังไม่พอ ยังแต่งเรื่องเติมหาแง่มุมโยงใยเข้าไปอีก
กว่าจะรู้ตัวอีกที เราก็คิดและพูดเรื่องคนอื่นไปแล้วเป็นชั่วโมงๆ ยิ่งถ้าคิดตามสถิติที่เขาว่ากันว่า ส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะไม่ค่อยพูดเรื่องดีๆ ของคนอื่นแล้วละก็ แปลว่าทุกวันนี้ พวกเราจมปลักอยู่กับความคิด Toxic กันไม่น้อยเลย บางทีก็สมควรแล้วที่เขาใช้คำว่า ‘จมปลัก’ เพราะมันขึ้นมายาก ไหนๆ เปื้อนแล้วก็เปื้อนมันไปให้สุด อะไรแบบนี้
ทุกวันนี้ โลกอำนวยความสะดวกให้เราเห็นเรื่องของคนอื่นได้ง่ายดายกว่าเดิมมาก เพราะทุกคนมีช่องทางการสื่อสารเรื่องราวของตัวเองแบบ 24 ชั่วโมง เราอาจจะเห็นโลกกว้างขึ้น แต่ก็มีมุมมองแคบลงเรื่อยๆ เพราะคอยแต่จะตัดสินอะไรต่อมิอะไรในโลกด้วยภาพไม่กี่ภาพ โพสต์ไม่กี่โพสต์ แต่ปรุงแต่งต่อได้เป็นฉากๆ เรื่องนิดเดียว แทบจะสร้างเป็นละครเวทีได้ นี่ถ้าวันหนึ่งวันใด เราหารายได้จากการปรุงแต่งเรื่องไม่เป็นเรื่องของชาวบ้านได้ละก็ คาดว่าหลายคนคงตั้งตัวได้ไปตามๆ กัน
ว่าแล้วก็เลยคุยกันกับคนใกล้ตัวกันว่า ถ้าไม่อยากจมอยู่กับความ Toxic แบบถึงพริกถึงเครื่องแบบนี้ อาจจะถึงเวลาที่เราต้องฝึกหยุดคิด หยุดสนใจความเป็นไปของคนอื่นกันอย่างจริงจังเสียที
เพราะการสนใจความเคลื่อนไหวของคนอื่น อาจหมายถึงการหยุดนิ่งของชีวิตเราไปด้วยในตัว เหมือนน้ำที่ไม่มีการไหลเวียน แต่หยุดนิ่งจนกลายเป็นน้ำเน่า คล้ายคนอยู่ดีไม่ว่าดี สร้างน้ำเน่าขึ้นมาให้ตัวเองลงไปเล่นนั่นละ
ในขณะที่แต่ละฟีดในโซเชียล หมุนเวียนเปลี่ยนไปแทบทุกวินาที ไม่ต่างอะไรกับสายน้ำไหลบ่า จนเขาใช้คำว่า flood มาเรียกให้เห็นภาพขนาดนั้นแล้ว เราก็ยังไม่ค่อยฉุกคิดเท่าที่ควร เรื่องที่มันควรจะไหลผ่าน เราก็กลับเลือกที่จะจมจ่อมอยู่แบบนั้น เรื่องของชีวิตคนอื่น ที่มันควรเป็นเรื่องของเขา เราก็ไปเอามาคิดจนกลายเป็นเรื่องของเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เลยคิดว่า หลังจากนี้ จะเข้าสู่การทดลองเห็นแล้วปล่อยผ่าน รับรู้แล้วก็แปะป้ายในเรื่องนั้นว่า รับรู้ แต่ไม่รับไว้ ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ แต่ทราบแล้วเราก็ควรเปลี่ยน
อย่างน้อยก็เปลี่ยนมุมมองที่เรามีกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านั้น ให้มันกลายเป็นแค่อีกเรื่องของโลก
…แต่ไม่ใช่เรื่องของเรา
#NotetoSelfbyWA #บทความ #หยุดคิดเรื่องของคนอื่น #วิไลรัตน์เอมเอี่ยม
โฆษณา