26 พ.ค. 2024 เวลา 11:00 • สุขภาพ

Toy pod ลาบูบู้ หายนะที่ถูกเสิร์ฟใส่มือเด็ก | ร้อยเรื่องฯ x ส.ส.ส.

ภายใต้กระแสตุ๊กตา pop mart ลาบูบู้ที่กำลังมาแรง และเป็นที่รู้จักไปทั่ว ยังมีอีกหนึ่งกระแสที่ตีคู่กันมาแบบเงียบๆ แต่สร้างอันตรายได้อย่างไม่คาดคิด
ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกวาดล้างร้านที่มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในรูปแบบของเล่นหรือ “Toy pod” ที่น่าตกใจคือร้านเหล่านี้มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในรูปแบบตัวการ์ตูนต่างๆ ทั้งโดเรมอน การ์ตูนยอดฮิตต่างๆ รวมถึงลาบูบู้ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เป็นที่ถูกใจของเด็กๆนอกจากนี้ร้านดังกล่าวยังอยู่บริเวณใกล้กับสถานศึกษา โดยจากข้อมูลพบว่าร้อยละ 70 ของร้านขายบุหรี่ไฟฟ้าเหล่านี้อยู่บริเวณสถานศึกษา โดยพยายามให้สะดวกต่อการเลือกซื้อของเด็กและเยาวชน
3
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มีนโยบายให้ตำรวจทุกพื้นที่กวดขันจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด และมอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป) และคณะ ประชุมขับเคลื่อนมาตรการในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยมีการชี้แจงข้อกฎหมายฐานความผิดของผู้ลักลอบนำเข้า ผู้จำหน่าย และผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ตลอดจนกำหนด แนวทางในการสืบสวนจับกุม รวมถึงมาตรการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้กับชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในระดับพื้นที่
นอกจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกันออกมาตรการการป้องกัน เช่น การรณรงค์เรื่องโทษของบุหรี่ไฟฟ้า การสร้างความตระหนักรู้ถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงมีการตรวจตราให้เข้มงวด โดยเฉพาะสถานศึกษา รวมถึงการจำหน่ายและใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน
แล้วบุหรี่ไฟฟ้ามาจากไหน อันตรายหรือไม่
บุหรี่ไฟฟ้าเริ่มปรากฏครั้งแรกช่วงต้นยุค 2000 โดยบริษัท Philip Morris International คิดริเริ่มบุหรี่ไฟฟ้าภายใต้คอนเซป “Delivering a Smoke-Free Future” โดยเคลมว่าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา และมีส่วนช่วยให้สามารถเลิกบุหรี่ได้ โดยให้ข้อมูลว่ามีกว่า 33 ล้านคนทั่วโลกที่ใช้ผลิตภัณฑ์จาก Philip Morris Internationa และในจำนวนนี้ 20.8 ล้านคนสามารถเลิกบุหรี่ได้จริง
แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจจะสวยหรูเกินกว่าความเป็นจริง
แม้จะเคลมว่ามีผู้เลิกบุหรี่สำเร็จกว่า 20.8 ล้านคน แต่ไม่มีข้อมูลว่าสามารถเลิกจริงได้เท่าไหร่ จึงอาจมองได้ว่าการที่ไม่ได้สูบบุหรี่จริงๆแล้วก็คือการหันมาใช้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งก็มีสารนิโคติน ทำให้ติดได้ไม่ต่างจากบุหรี่ นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้าสามารถเพิ่มปริมาณนิโคตินได้ตามต้องการ ทำให้ติดได้ง่ายกว่า แถมยังมีสารแต่ง ทั้งสี กลิ่น ลักษณะของ pod ทำให้มี Margins สูง ทำกำไรได้มากกว่าบุหรี่ธรรมดา
บุหรี่ไฟฟ้าคือหายนะ คำกล่าวที่เกินจริง?
เมื่อบุหรี่ไฟฟ้าถูกใช้งาน แบตเตอรี่ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานจะถูกกระตุ้นให้ปล่อยพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ขดลวดความร้อนที่มีแรงต้านทานไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้านี้จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานความร้อนไปทำให้น้ำยาที่มีสารนิโคตินและสารปรุงแต่งต่างๆ เช่น E-juice, liquid, nicotine solution เป็นต้น สารแต่งที่บรรจุในหลอดหรือถังเก็บ (container) เมื่อร้อนขึ้นจะเกิดการเปลี่ยนสถานะ ระเหยเป็นไอ เกิดเป็นควันที่สามารถสูบออกมาได้โดยไม่มีการเผาไหม้ของใบยาสูบโดยตรง
การทำงานของบุหรี่ไฟฟ้า
บุหรี่ไฟฟ้ามีหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย 5 รูปแบบ แบ่งตามลักษณะและพัฒนาการ ดังนี้
  • 1.
    Cig-a-Like: เป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่ผลิตออกมาในรูปแบบของบุหรี่ธรรมดา ให้อารมณ์สูบบุหรี่ แต่ไม่เกิดการเผาไหม้จริง เน้นกลุ่มตลาดผู้สูบเดิมให้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า
2. Variations: รูปร่างลักษณะไม่ต่างจากแบบ Cig-a-Like มาก แต่มีฟังก์ชันการแต่งสี แต่งกลิ่นเพิ่มเติมเข้ามา เพิ่มอรรถรสในการใช้ผลิตภัณฑ์
3. Vape Pens: โดยร่วมยังไม่ต่างจากแบบ Variations แต่มีฟังก์ชันการปรับขนาดการใช้ได้เพิ่มมากขึ้น
4. Mods: มาจาก Modifiable สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานต่างๆได้ตามต้องการ ทั้งขนาดการใช้ สี กลิ่น แพคเกจ แต่มีขนาดใหญ่ เทอะทะ ไม่สะดวกต่อการใช้งาน
5. Pod-Based: ฟังก์ชันคล้ายกับ Mods แต่มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก ล่าสุดพัฒนาย่อยมาในลักษณะของเล่นหรือ “Toy pods” มีความสวยงามและล่อตาล่อใจเด็กๆเยาวชน ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก สร้างความกังวลให้กับผู้ปกครองหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัย ความจริงแค่ครึ่งเดียว?
ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ามักมีการเคลมว่าลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการได้รับควันบุหรี่ หรือที่เรียกว่าเป็นบุหรี่มือสองได้ รวมถึงอ้างว่ามีส่วนต่อการเลิกบุหรี่ ซึ่งเราอธิบายไปแล้วในตอนต้นว่าอาจจะไม่จริง ส่วนเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพที่ว่าปลอดภัยกว่านั้น ก็ยังคงเป็นคำถามเช่นกัน
โดยทั่วไปบุหรี่ธรรมดาประกอบด้วยปริมาณนิโคตินราว 10-14 มิลลิกรัม การสูบบุหรี่ 1 มวล ร่างกายจะดูดซึมสารนิโคตินราว 1-1.5 มิลลิกรัมต่อมวล อาจฟังดูน้อย แต่หากสูบติดต่อกันทุกวัน จำนวนนี้ก็มากพอที่จะส่งผลต่อหลายระบบในร่างกาย โดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งทำให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว มีปัญหากับการควบคุมความดัน ยังไม่นับรวมผลกระทบต่อระบบหายใจ ไม่ต้องนึกถึงว่าวันนึงไม่ได้สูบแค่มวลเดียว
1
แต่บุหรี่ไฟฟ้านั้นน่ากลัวกว่านั้นมาก
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า บุหรี่ไฟฟ้าสามารถปรับเปลี่ยนหลายอย่างได้ตามต้องการ ทั้งสี ทั้งกลิ่น ตัว pod และที่น่ากลัวที่สุด คือปริมาณนิโคตินต่อการสูบ 1 ครั้ง บางรายงานอ้างว่า บุหรี่ไฟฟ้าแบบ Mods และ Pod base สามารถปรับปริมาณนิโคตินต่อการสูบ 1 ครั้ง ได้มากกว่าบุหรี่แบบธรรมดาถึง 10 เท่า
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าเคลมว่าทำให้คนหยุดสูบบุหรี่ได้ ในเมื่อเขาสามารถเพิ่มปริมาณนิโคตินได้ตามใจ จึงไม่แปลกที่บุหรี่ไฟฟ้าจะค่อยๆได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่นั้นยังไม่ใช้ทั้งหมดของภัยที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้า
สารแต่งบุหรี่ไฟฟ้า หรือ e-liquid ประกอบด้วยสารก่อควันและช่วยทำละลาย เช่น propylene glycol (PG), vegetable glycerin (VG), สารกลุ่มaldehyde, ethanol
สารแต่งกลิ่นรส เช่น menthol, vanillin, maltol, cinnamaldehyde,
Limonene สารประกอบอินทรีย์ เช่น Volatile organic compounds; acrolein,
acrylamide, acrylonitrile เป็นต้น
สารเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติต่อระบบทางเดินหายใจ ทั้งโรคปอดอุดกลั้น โรคหลอดลมอักเสบ สารดังกล่าวมานี้จะเกาะบริเวณผิวของถุงลมปอด ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายประเมินว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมและเข้าทำลาย ซึ่งนั่นรวมถึงผนังถุงลมปอดด้วย ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงในระยะยาว
แต่ที่ร้ายที่สุด คือสารแต่งที่ชื่อว่า vitamin E acetate ซึ่งมีหลักฐานยืนยันชัดเจนในปัจจุบันว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคปอดอักเสบจากบุหรี่ไฟฟ้า หรือ E-cigarette or Vaping Use-Associated Lung Injury (EVALI) ซึ่งเกิดได้จากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง vitamin E acetate จะเข้าทำลายเซลล์ที่หลอดลมและถุงลมปอดโดยตรง ผู้ที่เป็น EVALI จะมีอาการหอบเหนื่อย ไอ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อาจมีอาการท้องเสียได้ รุนแรงที่สุดคือปอดอาจอักเสบจนมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
สภาพปอดของผู้ที่เป็นโรค EVALI จากบุหรี่ไฟฟ้า เครดิตภาพ: https://press.rsna.org/timssnet/media/
สูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วไม่เป็นมะเร็ง จริงหรือ?
เรารู้กันมานานแล้วว่าการสูบบุหรี่เพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งปอดชนิด small cells มากกว่าคนที่ไม่สูบมากถึง 20 เท่า นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอื่น เช่น มะเร็งบริเวณช่องปากและลำคอ ทำให้ที่ผ่านมามีกลุ่มความเชื่อที่บอกว่า พอสูบบุหรี่ไฟฟ้า ที่ไม่มีควัน ก็ไม่เสี่ยงต่อมะเร็ง คำพูดนี้เป็นจริงแค่ไหน?
นิโคตินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนรูปกลายเป็นสารในกลุ่ม Nitrosamine 2 ตัวคือ
NNK (4-(methyInitrosamino)-1-(3-pyridyl)-1-butanone) และ NNN(N'-nitrosonornicotine) สารทั้งสองตัวจะทำให้ DNA ของเซลล์ที่สัมผัสสารดังกล่าวเสียหายอย่างถาวร
นอกจากนี้ สารทั้งสองตัวยังเพิ่มการสร้าง reactive oxygen species(ROS) ซึ่งทำหน้าที่เป็นอนุมูลอิสระ(Free radicals) เกิดกระบวนการ Oxidation กับ DNA ทำให้เกิดความเสียหายต่อ DNA ได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้สารแต่งอย่าง acrolein ก็สร้างความเสียหายต่อเซลล์โดยตรง ส่งผลให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน
กลไกการเกิดมะเร็งจากบุหรี่ไฟฟ้า
เครดิตภาพ: Auschwitz, E.; Almeda, J.; Andl, C.D. Mechanisms of E-Cigarette Vape-Induced Epithelial Cell Damage. Cells 2023, 12, 2552.
ในเด็กอายุตั้งแต่ 14 ปีลงไป นิโคตินจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง 3-4 เท่า เทียบกับเด็กที่ไม่ได้สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า รศ.นพ.ชัยยศ คงคติธรรม หัวหน้าสาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่าสมองของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตลอดเวลาตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์จนถึงผู้ใหญ่
วัยรุ่นก็เป็นช่วงอายุหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาของสมอง ดังนั้นการได้รับนิโคตินในปริมาณสูงอาจส่งผลให้มีการสูญสลาย (pruning)ของการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ไม่มีการใช้งาน ทำให้การทำงานของสมองที่สำคัญๆ เช่น การคิดวิเคราะห์ ความจำ การจัดระเบียบความคิด การควบคุมอารมณ์ สมาธิ และพฤติกรรมบกพร่องไป
โดยพบว่า นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นนิโคตินสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมาสามารถเติมและเพิ่มในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าได้สูงกว่าบุหรี่มวนถึง 10-100 เท่า ผลงานวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่ไฟฟ้ากับประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง โดยพบว่า ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เช่น ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับการเรียนหรือการทำงาน ความจำหรือการตัดสินใจแย่ลงกว่าคนที่ไม่สูบ
และพบว่า สมองของเด็กมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากขึ้นหากเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าก่อนอายุ 14 ปี โดยเด็กที่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้าพบว่ามีแนวโน้มที่ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงมากกว่าเด็กที่ไม่เคยสูบถึง 3-4 เท่า ส่วนผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าพบมีแนวโน้มที่ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงมากกว่าคนที่ไม่เคยสูบ 2 เท่า
เครดิตภาพ: Benowitz NL. Nicotine addiction. N Engl J Med. 2010 Jun 17;362(24):2295-303. doi: 10.1056/NEJMra0809890. PMID: 20554984; PMCID: PMC2928221
American Heart Association รายงานผลการศึกษาพบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดถึง 1.8 เท่า และทำให้ปอดอักเสบ มีความเสี่ยงต่อโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 โรคหอบหืดเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 นอกจากนี้ยังพบว่า ส่วนประกอบของสารแต่งในบุหรี่ไฟฟ้ายังอาจปนเปื้อนโลหะหนัก เมื่อผ่านละอองออกมาจะสร้างผลกระทบคล้ายกับฝุ่น PM2.5 ทำให้เกิดปอดอักเสบได้อีกทางหนึ่ง
เครดิตภาพ: https://www.nhlbi.nih.gov/health/atherosclerosis
สุดท้ายนี้ ถ้าใครมีญาติสนิทหรือคนใกล้ชิด ที่กำลังสูบบุหรี่ แต่มีความตั้งใจแลต้องการที่จะเลิกบุหรี่ สามารถแอดไลน์มาได้ตามไลน์แอดด้านล่างนี้ เพื่อพบกับเครือข่ายเภสัชอาสาพาเลิกบุหรี่ ที่จะเป็นเพื่อนของคุณ คอยให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการเลิกบุหรี่ของคุณ เพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรัก
เครือข่ายเภสัชอาสาพาเลิกบุรี่
ขอขอบคุณ
1. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
2. สภาเภสัชกรรม
3. เครือข่ายวิชาชีพเภสัชกรรมเพื่อควบคุมยาสูบ
อ้างอิง
1. Benowitz NL. Nicotine addiction. N Engl J Med. 2010 Jun 17;362(24):2295-303. doi: 10.1056/NEJMra0809890. PMID: 20554984; PMCID: PMC2928221.
2. uschwitz, E.; Almeda, J.; Andl, C.D. Mechanisms of E-Cigarette Vape-Induced Epithelial Cell Damage. Cells 2023, 12, 2552. https://doi.org/10.3390/cells12212552
3.
4.
โฆษณา