25 พ.ค. 2024 เวลา 21:49 • ประวัติศาสตร์

เจาะลึกเสือรถถัง(Tank Ace) ของกองทัพเวียดนามเหนือ ที่ถูกโลกลืม !!!

ถ้าพูดถึงคำว่า Tank Ace พวกเราที่ติดตามอ่านหนังสือแนว ๆ สงครามส่วนใหญ่คงนึกถึง มิคาเอล วิทท์มันน์ เสือรถถังของเยอรมัน (แพนเซอร์เอซ-panzer ace) เพราะเป็นมือวางอันดับ 1 ในประวัติศาสตร์การยิงทำลายรถถังฝ่ายตรงข้าม
แต่ถ้าเป็นแนวคิดพื้นฐานการจัดสถิติให้เป็น Ace แล้ว ทำลายข้าศึกได้เกิน 5 ก็น่าจะนับว่าเป็น Ace นะครับ
ในอีกทางหนึ่งคนที่ติดตามสงครามเวียดนามมักจะเจอบ่อย ๆ ว่าคนส่วนใหญ่คิดว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านสู้กับกองทัพ เทคโนโลยีในสงครามกองโจรนึกถึงภาพการนำจักรยานมาใช้ขนของในเส้นทางที่ใช้รถบรรทุกได้ยากลำบากอย่างในเส้นทางโฮจิมินห์ แต่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างใช้เทคโนโลยีตัว Top ของค่ายตนเข้าสู้กัน อาวุธคอมมิวนิสต์เช่น AK-47/RPG-7 เครื่องบิน MIG-17
MIG-19 MIG-21 จรวด SAM SA-2 หรือรถถัง T-54/55 และ PT-76 ใช้การได้ดีและใช้ต่อเนื่องข้ามมาอีกเป็นทศวรรษ
สงครามเวียดนามก็รบกันหลายยก ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยกระดับขีดความสามารถขึ้นมาเรื่อย ๆ
ในยุค 1960 สหรัฐใช้วิธีการการตั้งฐานของหน่วยรบพิเศษเช่น Mobile Strike Force Command , MIKE Force ในโครงการ Civilian Irregular Defense Group (CIDG) โดยมีกำลังพลหลักมาจากชาวเขา Montagnard ในการรบต่อต้านคอมมิวนิสต์แต่รับมือได้เฉพาะผู้ก่อการร้ายเวียดกง แต่เมื่อสงครามจุดติดและคอมมิวนิสต์สามารถขยายเส้นทางโฮจิมินห์ให้เป็นเครือข่าย Logistic ได้แล้วและกองทัพเวียดนามเหนือ ส่งคนของตัวเองมาคุมกันเส้นทางเองสหรัฐเลยต้องใช้กำลังหลักของตัวเองเข้าชน
ในช่วงปลาย 1966-1969 จุดยุทธศาสตร์ในแนวชายแดนลาว กัมพูชา เหล่านี้เพิ่มความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ จนสหรัฐต้องส่ง Elite Force อย่างหน่วยพลร่มเข้ามาทำภารกิจ เพราะมันเป็นปลายทาง(Ending Terminal) ของเส้นทำโฮจิมินห์ ในจุดที่จะส่งเสบียงเข้าสู่ตอนกลางของเวียดนามใต้ ดูจากแผนที่แล้วสีแดง ๆ ในแผนที่คือเส้นทางโฮจิมินห์ สีเหลืองคือเมืองดั๊กโท
หมายเลข 1 คือ ทางหลวงหมายเลข 9 เข้าแลงวี เคซาห์น
หมายเลข 2 คือ อาเชาว์ วัลเลย์ (ในหนัง Hambuger Hill)
ส่วนเลข 3 ก็คือรอยต่อ 3 ประเทศที่เป็นแหล่งเสบียงสำคัญของฝ่ายคอมมิวนิสต์ใกล้เมือง Dak to ที่จะพูดถึงในตอนนี้และ
ล่างลงไปนิดนึงก็ Ia trang Valley ในเรื่อง We were soldier นั่นเอง
และเมื่อกองทัพคอมมิวนิสต์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่ฝ่ายเหนือจะทำสงครามกองโจรเหมือนในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมากลับเริ่มใช้การรบในสงครามตามแบบมากขึ้นการต่อสู้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในที่ราบสูงตอนกลาง(Central Highlands) ในทุกยุทธการ และที่หนักหน่วงที่สุดคือการต่อสู้ในปี 1972 ในยุทธการ Easter Offensive เดือนเมษายน 1972 เนื่องจากเวียดนามเหนือ ได้รับรถถังรุ่นใหม่จาก จีน-โซเวียต กว่า 350 คัน ในช่วง 3 ปี และได้ ก่อตั้งกรมทหารม้ายานเกราะที่ 203 ขึ้นมาใหม่โดยใช้รถถัง T-54
โดยมีการแบ่งกองพันรถถังออกมายังแนวรบ Central Hight Land เป็น ม.พัน 297 นำโดยพันโท บุย กวาง ทอย ในตอนแรกได้มีโอกาส ร่วมรบบนทางหลวงหมายเลข 9 - ลาวใต้(Lam Son-719) และได้รับคำสั่งให้ย้ายที่ตั้งเข้าไปในสนามรบตะวันตก ในวันที่ 15 พย. 1971 ประจำการอยู่ริมฝั่งเหนือของแม่น้ำเบนไห่ หลังจากเดินทัพได้สองเดือนครึ่งในต้นปี 1972 เข้าที่ตั้งแล้ว ม.พัน 297 นับเป็นกองพันรถถังกองแรกที่มีอยู่ในพื้นที่ราบสูงตอนกลาง
ในวันที่ 2 เมษายน 1972 ก็ได้รับคำสั่่งให้เข้าสนับสนุนกองพลทหารราบที่ 320 เพื่อโจมตีแนวป้องกันเตย์โปโก โดยในแนวรบ B-3 นี้กองทัพคอมมิวนิสต์ใช้ทหาร 3 กองพล(2/3/320) จัดกำลังร่วมกับกองกำลังท้องถิ่นเวียดกง รวมเป็นกำลังทั้งสิ้นประมาณ 40,000 คน (กองพันรถถังมีหน่วยยานเกราะอยู่เพียงกองพันเดียว รถถัง 30 คัน) โดยหน่วยนี้ได้รับภารกิจในการโจมตีเขตทันกั๊ญ (Tan Canh)
ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ป้องกันเส้นทางหลักเข้าสู่เมืองคอนทูม(Kon Tum) หลังจากการยิงกันด้วยด้วยปืนใหญ่สองวัน รถถัง T-54 รวม 18 คันจาก ม. 203 เคลื่อนเข้าโจมตี ที่ตั้งของ พล.ร. 22 ของเวียดนามใต้จากสองทิศทางทำลายแนวรับสำเร็จ
หน่วย ARVN ล่าถอยละทิ้งตำแหน่งไปตั้งมั่นในคอนทูม โดย T-54 ชุดแรกถูก AC-130 ยิงทำลายไป 3 คัน
รุ่งเช้าของวันที่ 24 เมษายน 1972 ทหารเวียดนามเหนือได้เปิดฉากเข้าตีฐานดักโต - ทันกั๊ญ ต่อเนื่องโดยรถถังหมายเลข 377 นำขบวนโจมตีฐานของกรมทหารราบที่ 42 ของเวียนามใต้ หลังจากตีค่ายแตกก็ต้องเร่งทำภารกิจต่อโดยไม่มีเวลาพักผ่อนและซ่อมบำรุงรถ โดยหมวดรถถังที่ 3 ได้รับคำสั่งให้ออกโจมตีต่อเนื่องที่ ฐาน Dak To 2 โดยหมายเลข 377 จะเป็นผู้นำรถถังอีก 2 คัน คือ 354 และ 369
เนื่องจากการยิงด้วยปืนใหญ่อย่างหนักและการโจมตีของเครื่องบิน AC-130 หมายเลข 354 และ 369 จึงวิ่งตามรถถังหมายเลข 377 ไม่ทันทำให้ 377 ถลำเข้าไปในแนวป้องกันของรถถัง M-41 จำนวน 10 คัน ที่แบ่งออกเป็น 2 ฟากประสานการยิงเข้ามา การต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดรถถัง 377 ยิงรถถังของฝ่ายใต้ ได้ 2 คันอย่างรวดเร็ว รถถังศัตรูที่เหลือรวมอำนาจการยิงเพื่อโต้ตอบ แต่ที่ลูกเรือ 377 ก็ใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศและภูมิประเทศ และประสิทธิภาพรถถังที่ดีกว่าเพื่อต่อสู้และเอาชนะรถถังศัตรูจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง
ทหารเวียดนามใต้ กับเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง M-72
แม้ว่าร้อยโท Nguyen Nhan Trien ผู้บังคับการรถและสหายร่วมทีมมีไหวพริบและกล้าหาญในการต่อสู้ จะพยายามซื้อเวลาให้ลูกหมวดอีก 2 คัน 354 และ 369 ที่ฝาแนวตั้งรับและกำลังวิ่งมาช่วยด้วยความเร็วสูงสุด แต่เมื่อมาถึงเพื่อนร่วมทีมก็พบว่ามันสายเกินไป เพราะเห็นรถถัง 377 ไฟลุก่วมคันลูกเรือทั้ง 4 คนเสียสละชีวิตอย่างกล้าหาญไปแล้ว และเมื่อนับดูพบว่าในบริเวณใกล้เคียงมีรถถังศัตรูที่ถูกทำลาย 7 คัน
(ในภาพ: ตัวถังรถ 377 ถูกปกคลุมไปด้วยรูกระสุน ถัดจากดาวสีเหลืองคือกระสุนของศัตรูที่ยิงทะลุป้อมปืน)
Final attack on Kontum
ในยุทธการ ทันกั๊ญ-คอนทูม รถถัง T-54 ที่ยิงข้าศึกมากที่สุดคือหมายเลข 377 ทำลาย M41 ไป 7 คัน โดยที่หมายเลข 377 เองก็ถูกทำลายโดยจรวดต่อสู้รถถัง M72 โดยรถถัง 377 ถูกกระสุนไปทั้งสิ้น 3 นัด
ด้วยความเหนือกว่าทางอากาศของสหรัฐฯ และ เวียดนามใต้ทำให้กองทัพเวียดนามเหนือไม่สามารถรับกระสุน อาหารและเสบียงที่เพียงพอจากฐานทัพของตนในป่าได้ ในศึกนั้น NVA ทำลายรถถัง M41 ไป 18 คันและยานเกราะลำเลียงพล M113 อีก 31 คันรวมทั้งยึดรถถัง M41 ไปได้อีก 17 คัน
ในขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์สูญเสียรถถัง T-54 และType 59 ไป 24 คัน (หนึ่งในนั้นคือ Tank Aces No. 377) และ PT-76 อีก 5 คัน เท่ากับว่ามีเพียง T-54 รอดไปได้เพียงคันเดียว
การถูกทำลายอกส่วนหนึ่งมาจากทีมเฮลิคอปเตอร์กันชิป Hawk's Claw(ใช้จรวดโทว์) และปฏิบัติการทิ้งระเบิดปูพรมของ B-52 และสถานการณ์ของฝ่ายเหนือเลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคมถึง 8 มิถุนายน จำเป็นต้องถอนกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ในเมืองคอนทูม กลับออกไปเวียดนามใต้รอดไปได้หวุดหวิด และในระหว่างการรณรงค์ที่ราบสูงตอนกลาง ทางสหรัฐฯ ทำตัวเลขสถิติว่า เวียดนามเหนือสูญเสียใหนสงครามที่นี่ 30,000 คน(คิดเป็น 75% ของกำลังทหารที่เข้าร่วม)
ชัยชนะของคอมมิวนิสต์ที่ ดักโต - ทันกั๊ญ เกือบจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในสนามรบในที่ราบสูงตอนกลางได้ผล แต่อย่างน้อยก็ยังสร้างแรงผลักดันให้กับรัฐบาลสหรัฐเข้าสู่การประชุมสันติภาพปารีส และทยอยถอนทหารกลับบ้านหมดในปี 1973 และรถถังคันที่รอดไปได้เพียงคันเดียวของ ม.203 นั้นได้ร่วมฉลอยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ใน วันไซ่ง่อนแตก 30 เมย. 1975 ช่วยให้เวียดนามรวมชาติได้อย่างสมบูรณ์
ตัดกลับมาปัจจุบัน เวียดนามเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่กำลังท้าชิงกับเราในเกือบทุก ๆ เรื่อง
และถ้าเพื่อน ๆ ได้มีโอกาส ได้ไปเยือน Dak To-Tan Canh Victory onument(พิกัด 14.6608341,107.8384761) จะพบว่าตอนนี้พิพิธภัณฑ์ รถถังของรัฐบาลเวียดนามได้จัดแสดงของที่ระลึกมากมายเกี่ยวกับลูกเรือของรถถัง 377 จดหมาย แต่ละฉบับ ปืน โรงอาหาร หรืออาหารกลางวันที่ถูกเผาของลูกเรือ โดยทางการเวียดนามใช้ Theme ว่า 377 เป็นสมบัติของชาติ ช่วยให้มีจิตวิญญานการต่อสู้ที่เป็นอมตะ
ก็เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจสไตล์เวียดนาม มังกรหนุ่มผู้มุ่งมั่นเค้าล่ะครับ
ยานเกราะต่อสู้อากาศยานอัตตาจร ZSU-57-2 ที่ร่วมในการรบดักโต - ทันกั๊ญ
ขณะที่เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ก็ถูกสร้างไปพร้อมกัน
ประวัติศาสต์การยุทธ(Battle History) "เล่าเรื่องประวัติศาสตร์การรบและข้อมูลประกอบ ให้เพื่อนฟังแบบแฟนพันธ์แท้"
ท่านสามารถติดตามเนื้อหาที่เกี่ยวข้องต่อเน่ื่องได้ที่ กลุ่มเฟสบุคชมรมผู้ศึกษาสงครามเวียดนาม
ที่สร้างขึ้นมาเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ อย่างเป็นกลาง ปราศจากอคติต่าง ๆ
สามารถแสดงความเห็นได้อย่างผู้ศึกษาและเคารพประวัติศาสตร์
โฆษณา