28 พ.ค. 2024 เวลา 03:14 • สุขภาพ

แพทย์ชี้ "อายาวัสกา" เข้าข่ายเสพยา แจงน้ำต้มรากไม้มี DMT เห็นภาพหลอน สมองหลั่งเองไม่ได้

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกออนไลน์ หลัง นท พนายางกูร หรือ นท เดอะสตาร์ ได้เล่าผ่านรายการ "ป๋าเต็ดทอล์ก" ถึงประสบการณ์ฮีลตัวเอง ด้วยการทำ "อายาวัสกา (Ayahuasca)" เป็นพิธีกรรมที่ต้องมีผู้นำทางจิตวิญญาณ (Shaman) มาเป็นคนทำให้ ควรทำในที่ปลอดภัย คือที่ธรรมชาติและมีแพทย์แผนปัจจุบันอยู่ด้วย
ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวจะให้ดื่มน้ำสมุนไพรที่สกัดจากรากไม้มาจากแอฟริกาใต้ โดยเจ้าตัวระบุว่า ทำให้สมองหลั่งสาร DMT ซึ่งหลั่ง 2 ครั้ง เฉพาะตอนเกิดและตาย โดยมองว่าเป็นฟาสต์แทรกต์สู่การรู้แจ้งเห็นจริง  เหมือนทดลองการตาย รู้สึกถึงหายใจเฮือกสุดท้าย ทำให้ปล่อยวาง
เรื่องนี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะ DMT คือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 คือ เป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดการใช้ยาในทางที่ผิด มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพสูง และ ไม่มีการใช้ทางการแพทย์ ส่วนใหญ่มีฤทธิ์หลอนประสาท ได้แก่ Mescaline, Psilocybin, DMT, DET, Cathinone เป็นต้น กฎหมายจึงห้ามเด็ดขาดไม่ให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง
บางส่วนมีการแสดงความคิดเห็นว่า คนรวยเรียกว่า Therapy แต่คนจนเป็นการหลอนยา นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดคำถามว่า น้ำต้มรากไม้ที่มี DMT จัดเป็นยาเสพติดหรือไม่ ผิดกฎหมายหรือไม่ เข้าข่ายเป็นการเสพยาหรือไม่อย่างไร
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า DMT ในแวดวงของสารเสพติด คือ ไดเมทิลทริพทามีน (Dimethyltryptamine) เป็นสารเคมีหนึ่งที่มีฤทธิ์ต่อจิตใจและระบบประสาท สามารถเข้าไปทำกลไกบางอย่างกับกลุ่มของ "โดพามีน" และ "เซโรโทนิน" ซึ่งเป็นสื่อนำประสาท ทำให้เกิดภาวะของการหลอน หากรับในปริมาณสูงๆ
สารเหล่านี้มีงานวิจัยต่อไปได้ว่า อาจนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงของการเป็นยาหรือเป็นส่วนผสมของสารที่เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งตรงนั้นจะใช้ปริมาณที่น้อยมากๆ เท่านั้น การนำมาใช้เพื่อเสพตรงนี้มีฤทธิ์ตรงกันข้าม เป็นคมที่เจ็บปวดคือ เกิดอันตรายในแง่ของการหลอนประสาทได้
"สารเคมีตัวนี้ออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างเร็ว แต่การคงอยู่ของฤทธิ์อาจจะไม่ค่อยนานนักหากรับเข้าไปไม่มากจนเกินไป และธรรมชาติสารนี้จะพบได้ในบริเวณเปลือกผิวของสัตว์บางประเภท เช่น คางคก หรือในรากไม้บางประเภท มีแนวโน้มที่อาจจะมีการสังเคราะห์สารเหล่านี้มาใช้ในทางที่ผิดได้ ถ้าหากสังคมไม่ได้มีการเรียนรู้การป้องกันกันไว้" พญ.อัมพรกล่าว
พญ.อัมพรกล่าวว่า สารเหล่านี้มีอยู่ในธรรมชาติ จึงอาจมีบางกลุ่มผู้คนที่ไปเจอฤทธิ์ของสารนี้จากธรรมชาติ เช่น น้ำต้มรากไม้ หรือดึงมาจากผิวหนังของสัตว์ที่มีสารเหล่านี้อยู่ แล้วนำมาใช้ในทางที่เป็นปัญหาหรือเป็นโทษ เพราะมีฤทธิ์ในการหลอน การใช้ในปริมาณระดับหนึ่งอาจทำให้เกิดภาวะประสาทหลอนได้เหมือนกับ LSD เพราะฉะนั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าถูกเข้าใจผิดว่าตัวนี้จะทำให้เกิดความเคลิบเคลิ้มก่อนที่จะหลอน หรือมองเห็นว่าความรู้สึกหลอนนั้นคือรูปแบบหนึ่งของความผ่อนคลาย ซึ่งตรงนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด
"หากจะมองเรื่องความหลอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฮีลใจ จริงๆ แล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ทำท่าเหมือนจะฮีล แต่แท้จริงแล้วตอนจบอาจจบด้วยการเฮิร์ท (Hurt) ก็ได้ และมีแนวโน้มสูงด้วยว่าความเฮิร์ทในที่นี่อาจมีเรื่องของการเสพติดตามมาอีกด้วย" พญ.อัมพรกล่าว
ถามว่า DMT มีฤทธิ์หลอนประสาทจะแสดงอาการอย่างไรบ้าง  พญ.อัมพรกล่าวว่า การหลอนประสาทจะทำให้คนเสพเข้าไปมีตั้งแต่มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น คือ ภาพหลอน หรืออาจจะแปลความสิ่งที่เห็นผิดไป เช่น เห็นสายยางมองว่าเป็นงู เห็นคนยิ้มข้างหน้ามองว่าเป็นแสยะหน้า คนโบกมือทักทายมองเห็นเป็นถืออาวุธจะมาทำร้าย
การแปลความหลอนมีทั้งภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยินอาจเป็นเสียงแว่ว หรือเสียงที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริง หรือความคิดอาจจะมีการคิดอะไรที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เช่น คิดว่าถูกคนปองร้ายจ้องที่จะฆ่า หรือคิดทางกลับกันว่าตัวเองมีอำนาจวิเศษที่ยิ่งใหญ่ หรือคิดอะไรที่เรียกว่าไม่มีขอบเขตใดๆ เลย
"ทั้งความคิดหลอนและการรับรู้ภาพหลอน เสียงหลอน ประสาทหลอน นำไปสู่อันตรายได้ทั้งสิ้น อันตรายที่เห็นฉับพลันทันที เช่น ความรู้สึกหลอนว่าตัวเองจะถูกทำร้าย หรือความคิดหลอนที่จะไปทำร้ายคนอื่น อาจนำไปสู่การทำลายกันและกัน หรือการวาดกลัวจนกระทั่งทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย อย่างที่เห็นจากฤทธิ์ของสารหลอนประสาทสารพัดประเภทที่มีอยู่ ถือเป็นข้อต้องห้าม และสาร DMT ตัวนี้ถือเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ซึ่งห้ามไม่ให้มีการครอบครอง หากมีการครอบครองจะมีความผิดตามกฎหมายยาเสพติด" พญ.อัมพรกล่าว
ถามว่า น้ำต้มรากไม้ที่มีสาร DMT เข้าข่ายเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่ผิดกฎหมายด้วยหรือไม่  พญ.อัมพรกล่าวว่า ถ้าเขาอยู่ในสารตามธรรมชาติ ไม่มีใครไปทำอะไรก็คงไม่ใช่เรื่องความผิดหรือเป็นปัญหา  แต่เมื่อไรที่มีการนำมาใช้เพื่อเสพเข้าสู่ร่างกายหรือทำให้คนอื่นนำไปเสพตรงนี้ถือว่าเป็นความผิด หรือนำมาแปรรูปให้มี DMT เป็นองค์ประกอบอยู่ก็ถือว่าเป็นความผิดการครอบครองสารเสพติด
เมื่อถามย้ำการดื่มน้ำต้มรากไม้ที่มีสาร DMT อยู่ก็ถือว่าเป็นการเสพใช่หรือไม่  พญ.อัมพรกล่าวว่า ถูกต้อง
ถามถึงกรณีมีการระบุว่าดื่มน้ำต้มรากไม้แล้วทำให้ DMT หลั่งออกมาจากสมอง ซึ่งปกติหลั่ง 2 ครั้งตอนเกิดและตาย  พญ.อัมพรกล่าวว่า สารที่ทำให้เกิดการนำประสาทและรู้สึกเป็นสุขบางชนิดที่ร่างกายสร้างเองได้ ที่เรารู้จักคือเอ็นโดรฟินที่ร่างกายสังเคราะห์เองได้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข อย่างเราออกกำลังกายมากพอเอ็นโดรฟินจะหลั่งออกมาและรู้สึกเป็นสุขปลอดโปร่งใจ
แต่สาร DMT มีฤทธิ์ในการหลอนประสาท ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ แต่เป็นไปได้ว่าหากได้รับมาจะไปมีปฏิกิริยากับสารในร่างกายอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ จนเกิดเป็นปัญหาของอาการต่างๆ
ถามย้ำว่า DMT จะหลั่งตอนเกิดและตายก็ไม่จริงใช่หรือไม่  พญ.อัมพรกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่จริง
ถามต่อว่ามีข้อแนะนำสำหรับประชาชนอย่างไร เนื่องจากปัจจุบันมีผู้วิเศษอวดอ้างบำบัดรักษาโรคทั้งกายและจิตใจ และมีผู้คนเข้าไปศรัทธาจำนวนมาก  พญ.อัมพรกล่าวว่า จริงๆ แล้วโรคภัยไข้เจ็บ เป็นสิ่งที่เกิดคู่กับมนุษย์อยู่แล้ว ทุกคนอยู่ในภาวะของการเกิด การเจ็บ การป่วย จนถึงเสียชีวิตได้ แต่ความเจ็บป่วย ปฏิกิริยาด้านจิตใจในแง่ความรู้สึกกลัว ความเคว้งคว้างเกิดขึ้นได้ตามมา
หากว่าเราอยู่ในสังคมที่การเข้าถึงการช่วยเหลือยังไม่ง่ายนักหรือยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้ เป็นไปได้ที่ประชาชนกลุ่มนั้นจะวิ่งเข้าหาสิ่งทีเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งที่เชื่อว่าจะตอบโจทย์เขาได้อย่างรวดเร็วทันที
"เรามีโลกไอทีที่ให้ข้อมูลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นวิทยาศาสตร์กว้างขวางขึ้นมากๆ คนเข้าถึงข้อมูลประโยชน์ต่อสุขภาพได้มากๆ ก็จริง แต่ยังมีประชาชนอีกกลุ่มที่กลับเลือกเข้าถึงข้อมูลที่เป็นอภินิหาร ความเชื่อ ที่ไม่มีวิทยาศาสตร์รองรับ
การเลือกเชื่ออะไรอาจมีส่วนสัมพันธ์ตั้งแต่เรื่องของพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่ พื้นฐานประสบการณ์ชีวิตที่เคยเจอ พื้นฐานการศึกษา และสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองได้รับ และสำคัญคือความกลัวที่ขึ้นถึงขัดสูงสุด ทำให้ความเชื่อในเหตุผลลดลง และไขว่คว้าเอาสิ่งที่ไม่มีเหตุผลแต่สามารถตอบใจเขาได้" พญ.อัมพรกล่าว
พญ.อัมพรกล่าวว่า การตอบใจเขาได้ตรงนี้ต้องช่วยกันดูแลและพึงระวัง เพราะหลายๆ ทางเลือก เป็นการนำเอาสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เช่น ตัวอย่างของ DMT หรือสารแปลกๆ บางประเภท มาทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือความรุ้สึกทีเกินกว่าผ่อนคลาย เขยิบมาเป็นการกดประสาท กระตุ้นประสาท หรือหลอนประสาท ตรงนี่จะกลายเป็นภาวะที่อันตรายแต่ทำให้ติดใจได้ ในที่สุดจะนำไปสู่ภาวะการเสพติดและรักษาค่อนข้างยากลำบากต่อปัญหาการติดสารนั้นๆ
นอกจากนี้ ยังมีอีกภาวะหนึ่งที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจ คือ "เรื่องการสะกดจิต" หรือการใช้สภาพของอิทธิพลกลุ่มทำให้เกิดอุปาทานหมู่ ทำให้ความเชื่อในบางเรื่องนั้นมีความลึกซึ้งมากขึ้นๆ กลไกตรงนี้ผู้ที่มีพื้นฐานโครงสร้างทางอารมณ์ที่อ่อนแอจะคล้อยตามได้ง่าย และถ้าถูกซ้ำเติมด้วยกลไกคนรอบข้างที่จูงกันไปเชื่อมากขึ้นๆ ก็จะพ่ายแพ้ต่อแรงชักจูงเหล่านี้
เช่นเดียวกันกับการติดสารเสพติด เพราะเรื่องนี้นำไปสู่ภาวะเสพติดการยอมรับของกลุ่มคนรอบๆ มุมหนึ่งอาจรู้สึกเหมือนผ่อนคลาย สบายหายจายอาการต่างๆ ได้ แต่หากตั้งหลักพิจารณาให้ดี จะพบว่าแท้จริงแล้วปัญหายังคงอยู่ และจะเริ่มมีปัญหาของความเชื่อถือผิดเข้ามาซ้ำเติม  ทั้งการสูญเสียเงินทอง ปัญหากฎหมายต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้าภายหลัง
และหากมีโรคในร่างกายจริงๆ ก็จะยังไม่ได้รับการรักษา และมีแนวโน้มอาจจะเป็นมากขึ้นหนักขึ้นเกินกว่าจะแก้ไขได้ หากทิ้งไว้นานๆ ดังนั้น หากจะรับรู้เรื่องการรักษาใดๆ ขอให้ตั้งหลัก มีสติ คิดและไตร่ตรองต่อข้อมูลเหล่านั้นให้ดี หากมีข้อสงสัยมีหน่วยงานรัฐด้านสุขภาพให้คำปรึกษาได้เสมอ
#อายาวัสกา #กรมการแพทย์ #ยาเสพติด #นน้ำต้มรากไม้ #นทเดอะสตาร์
โฆษณา