29 พ.ค. เวลา 11:00

ความสุขไม่ได้อยู่ที่ ‘เรามีอะไร’ แต่อยู่ที่ ‘เรารู้สึกอย่างไร’ กับทุกสิ่ง และทุกเงื่อนไขที่เรามี

ระหว่าง ‘ปัญหาเรื่องงาน’ กับ ‘ปัญหาเรื่องความรัก’ คุณคิดว่าอะไรรับมือยากกว่ากัน?
หลายคนอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า “เราต้องแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัว” ถึงจะดูเป็นมืออาชีพในหน้าที่การงาน แต่จะมีสักกี่คนกันที่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งที่ใจพังไปแล้ว ดังนั้น องค์กรหลายแห่งที่เข้าใจดีว่าประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ ณ ขณะนั้นจึงมี ‘วันลาพักใจ’ ให้กับพนักงานด้วย
เนื่องจากจิตใจของเราไม่มีเส้นแบ่งตายตัว ปัญหาบางเรื่องที่ยังสะสางไม่เสร็จ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องงาน ปัญหาความรัก หรือปัญหาเรื่องคนก็ตาม ต่อให้จะเป็นปัญหาเล็กเพียงใดก็เป็นเหมือนกับแมลงตัวเล็กที่บินส่งเสียงหึ่งๆ และสร้างความรู้สึกยุบยิบอยู่ในใจของเราตลอดเวลาทำงานได้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็คงยากที่สามารถทำงานในวันนั้นให้ผ่านไปได้ด้วยดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัญหาถาโถมเข้ามาในวันที่เราเริ่ม ‘หมดไฟ’ ไปกับชีวิตที่เผชิญอยู่ในแต่ละวันแล้ว เราต้องทำอย่างไรจึงจะฮีลเศษใจของเราให้สามารถผ่านพ้นวันไปได้โดยไม่ถอดใจไปเสียก่อน?
ต้นเหตุของปัญหาไม่ใช่เรื่องงาน แต่อาจเป็นเรื่อง ‘คน’
บางทีงานที่ยากอาจจะไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เราหมดไฟ แต่คนส่วนใหญ่หมดไฟไปกับงานที่ไม่ชอบ เช่น งานที่เราไม่ได้เลือก งานที่หนักเกินไป งานที่มีขั้นตอนจุกจิกเกินความจำเป็น แต่ทำให้เสียเวลาไปทั้งวัน นอกจากนี้ ‘คน’ ในที่ทำงานก็ได้
ปัญหาจากคนรอบตัวของเราเป็นปัญหาจุกจิกที่สร้างความรำคาญใจอย่างมากมหาศาล เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อนร่วมงานไม่เป็นไปดั่งใจ มีเพื่อนร่วมงานที่ Toxic หรือต้องอยู่ในองค์กรที่ไม่มีการสนับสนุนสภาพจิตใจของพนักงาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักจะทำให้เราหมดไฟกับงาน และรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิตมากกว่าที่คิด
แต่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุกลับทำได้ยากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการลาออกแล้วมองหางานใหม่ไปเลย ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะได้งานใหม่ในทันทีหรือไม่ หรือการเลิกคุยเลิกคบหากับเพื่อนร่วมงานก็แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องติดต่อกันทุกวันทำงานอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องเผชิญกับ ‘คน’ แบบนี้ในที่ทำงานพร้อมกันกับปัญหาอื่นที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อไรละก็ อย่าว่าแต่ภาวะหมดไฟหรือ Burnuot เลย เพราะเราอาจจะเสียศูนย์และหมดแรงใช้ชีวิตไปเลยก็ได้
แล้วเราต้องรับมือกับทั้งเรื่องงาน และเรื่องคนอย่างไรไม่ให้หมดไฟไปเสียก่อน?
ขึ้นอยู่กับว่า ‘เรารู้สึกอย่างไร’ ในวันที่เจอกับปัญหา
แน่นอนว่าเราไม่ควรอดทนกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก แต่กรณีที่เราไม่มีอำนาจในการจัดการแก้ไขจริงๆ ‘การแก้ที่ตัวเอง’ อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถทำได้ ณ ตอนนั้น
ใครที่เคยผิดหวังในความรัก ไม่ว่าจะอกหัก หมดรัก หรือเข้ากันไม่ได้ สุดท้ายทางเดียวที่จะทำให้เราหายเศร้าก็คือการเดินหน้าต่อไป (Move on) และไม่กลับมาเสียใจให้อดีตที่ผ่านไปแล้ว การรับมือกับปัญหาเรื่องงาน และปัญหาเรื่องคนในที่ทำงานเองก็ไม่ต่างกัน เพราะอาการหมดไฟจากเรื่องงาน ก็ไม่ต่างกับอาการหมดใจจากความรักและความสัมพันธ์สักเท่าไร
มาดูกันว่าในวันที่แทบจะถอดใจจากงานไปแล้ว เราต้องทำอย่างไรจึงจะยังคงฮีลใจ หรือเรียกพลังกลับมาได้บ้าง?
[ ] สื่อสารให้เป็น ปฏิเสธให้ถูกวิธี ไม่ไหวคือไม่ไหว
วัฒนธรรมองค์กรในไทยมักมองว่า การปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องหยาบคายและเสียมารยาท แต่ที่จริงแล้วการปฏิเสธเป็นทางเดียวที่เราจะสามารถขีดเส้นได้อย่างชัดเจนที่สุด และเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด หากเราทำหน้าที่ในส่วนของเราอย่างเต็มที่แล้ว แต่มีเพื่อนร่วมงานมาขอความช่วยเหลือ และเอางานอื่นมาให้เราทำเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธควรถูกสื่อสารอย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยเราสามารถอธิบายเหตุผลในส่วนของเรา ประกอบกับการเสนอทางเลือก และคำแนะนำอื่นๆ ให้กับผู้ไหว้วาน เพื่อไม่ให้ดูแล้งน้ำใจจนเกินไปได้
[ ] ให้เวลาตัวเองได้พัก และทำในสิ่งที่อยากทำบ้าง
บางครั้งการดิ้นรนเพื่อความฝัน และเพื่อเอาตัวรอดก็ทำให้เราทำแต่ ‘สิ่งที่ต้องทำ’ เช่น เลือกงานที่ให้ผลตอบแทนดี หรืองานที่มั่นคงมากกว่างานที่ถนัด หรืองานที่ชอบ ซึ่งที่จริงแล้วการใช้ชีวิตอย่างนี้ก็ไม่ผิด แต่บางครั้งมันอาจจะทำให้เราโฟกัสกับผลลัพธ์มากไป จนลืมไปว่าระหว่างทางเราต้องสูญเสียไปทั้งความสุข ความฝัน และความอัศจรรย์อีกมากมายในชีวิตไป
ความรักไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนรักอย่างเดียวเท่านั้น ความรักยังเป็นเรื่องของเรากับงานที่รัก รวมถึงเรากับเพื่อนร่วมงานด้วย ดังนั้นถ้าเราทนอยู่กับใจพังๆ มากเกินไป เพียงเพราะกำลังบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ต้องทำ โดยไม่ได้ทำใน ‘สิ่งที่อยากทำ’ เลยสักครั้ง ก็คงเป็นไปได้ยากที่เราจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และคงไม่อาจให้คุณค่ากับมันได้อย่างเต็มที่
[ ] อย่าเอาความสุขของเราไปผูกกับคนอื่น
เพราะไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปเสียทุกอย่าง เราจึงไม่ควรเอาความรู้สึกของตัวเองไปผูกไว้กับคนอื่นมากนัก หลายคนอาจจะคิดว่าหากไม่เจอเพื่อนร่วมงานหรือองค์กรที่ Toxic ก็คงไม่หมดไฟง่ายอย่างนี้ หรือถ้าไม่เจอแฟนคนนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งเศร้า เสียใจ หรือรู้สึกเสียเวลาอย่างนี้
แต่เพราะเราเลือกที่ทำงานไม่ได้ เลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้ และเลือกวันเวลาที่ปัญหาจะถาโถมเข้ามาพร้อมกันทีเดียวก็ไม่ได้ หรือแม้แต่จะห้ามปัญหาไม่ให้เกิดก็เป็นไปไม่ได้อีก ดังนั้น ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คืออย่าให้เรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้มามีอิทธิพลเหนือกว่าจิตใจ และความรู้สึกของเรา
[ ] หมั่นชมตัวเอง และฉลองความสำเร็จกับคนใกล้ตัว
นี่อาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนละเลยมากที่สุด เพราะว่ากันว่ายิ่งความสัมพันธ์แน่นแฟ้นใกล้ชิดกันมากเท่าไร เราก็ยิ่งหลงลืมและละเลยกันมากเท่านั้น หลายคนจึงมักมีปัญหาที่ไม่สามารถสะสางได้สักทีกับคนใกล้ชิดอย่างเพื่อนสนิท ครอบครัว คนรัก หรือแม้แต่ ‘ตัวเอง’ ก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นสุข เศร้า หรือเหงา เราก็ควรที่จะมีคนให้เล่า และระบายความรู้สึกที่อยู่ในใจ รวมทั้งในวันที่เราประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะเป็นเพียงความสำเร็จเล็กๆ แต่นั่นก็เป็นโอกาสดีที่เราจะขอบคุณตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง และมีความสุขไปพร้อมๆ กับคนรอบตัวที่ใกล้ชิดได้
เป้าหมายที่แตกต่าง ทำให้ผู้คนมีจุดโฟกัสที่ต่างกัน เราอาจจะมัวแต่มองหาความสุขจากความสำเร็จในวันข้างหน้า จนลืมไปว่าเราเองก็สามารถมีความสุขได้เลยในวันนี้และตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่ามนุษย์คนไหนก็ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่สุข หรือช่วงที่ชวนให้เสียน้ำตาของชีวิตเช่นกัน
ดังนั้นในวันที่ปัญหานับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่แทบจะพร้อมๆ กัน และในวันที่รู้สึกว่าโลกไม่ได้ใจดีกับเราเท่าไร จนทำให้ท้อแท้ หมดไฟ หรือไม่เหลือแรงใจจะทำอะไรอีกแล้ว อย่าลืมว่ามีเพียง ‘ตัวเรา’ เท่านั้นที่จะสามารถใจดี และเก็บกู้เศษซากจิตใจขึ้นมาประกอบใหม่ รวมถึงมองหาความหวัง ความฝัน และความสุข เพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง และฮึดสู้ใหม่ได้ในเช้าวันต่อไป
สำหรับใครที่อยากได้วิธีฮีลใจอย่างละเอียด และความรู้ดีๆ สำหรับคนทำงาน เพื่อต่อสู้ในโลกของการทำงานจาก Mission To The Moon Forum 2024 สามารถซื้อบัตรเพื่อดู Rerun ได้ที่ : https://www.zipeventapp.com/e/Mission-To-The-Moon-Forum-2024
#burnout
#selflove
#missiontothemoon
#missiontothemoonforum2024
โฆษณา