9 มิ.ย. 2024 เวลา 17:39 • ไลฟ์สไตล์

ทฤษฎีความคาดหวัง (Expectancy Theory) คืออะไร?

ทฤษฎีนี้บอกว่า แรงจูงใจของเราในการทำสิ่งต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับ 3 อย่างนี้
  • 1.
    ​ความคาดหวัง (Expectancy): เราเชื่อแค่ไหนว่าถ้าเราพยายามแล้วจะสำเร็จ? ยิ่งเชื่อมาก ยิ่งมีแรงฮึดมาก
  • 2.
    ​การเป็นเครื่องมือ (Instrumentality): เราเชื่อแค่ไหนว่าถ้าทำสำเร็จแล้วจะได้ผลตอบแทนที่ต้องการ? ยิ่งมั่นใจว่าได้ ยิ่งอยากทำ
  • 3.
    ​คุณค่าของผลลัพธ์ (Valence): เราให้คุณค่ากับผลตอบแทนที่จะได้มากแค่ไหน? ยิ่งอยากได้รางวัลนั้นมากเท่าไหร่ ยิ่งมีแรงจูงใจมากเท่านั้น
สรุปง่าย ๆ คือ ถ้าเราคิดว่าทำได้ ทำแล้วได้รางวัล และรางวัลนั้นมีค่าสำหรับเรา เราก็จะมีแรงจูงใจในการลงมือทำสิ่งนั้นมากขึ้น
ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
  • ​การเรียน: ถ้าเราเชื่อว่าตั้งใจเรียนแล้วจะสอบได้คะแนนดี (ความคาดหวัง) และคะแนนดีจะทำให้ได้เกรดดี (การเป็นเครื่องมือ) ซึ่งเกรดดีจะทำให้เราได้ทุนเรียนต่อ (คุณค่าของผลลัพธ์) เราก็จะมีแรงจูงใจในการตั้งใจเรียนมากขึ้น
  • ​การทำงาน: ถ้าเราเชื่อว่าทำงานหนักแล้วจะได้เลื่อนตำแหน่ง (ความคาดหวัง) และการเลื่อนตำแหน่งจะทำให้เงินเดือนขึ้น (การเป็นเครื่องมือ) ซึ่งเงินเดือนที่มากขึ้นจะทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น (คุณค่าของผลลัพธ์) เราก็จะมีแรงจูงใจในการทำงานหนักมากขึ้น
  • ​การออกกำลังกาย: ถ้าเราเชื่อว่าออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้วจะลดน้ำหนักได้ (ความคาดหวัง) และการลดน้ำหนักจะทำให้สุขภาพดีขึ้น (การเป็นเครื่องมือ) ซึ่งสุขภาพที่ดีจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น (คุณค่าของผลลัพธ์) เราก็จะมีแรงจูงใจในการออกกำลังกายมากขึ้น
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
  • 1.
    ​ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: ยิ่งเป้าหมายชัดเจนเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นภาพความสำเร็จได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
  • 2.
    ​ให้รางวัลตัวเอง: เมื่อทำสำเร็จตามเป้าหมาย อย่าลืมให้รางวัลตัวเองเพื่อเป็นกำลังใจ
  • 3.
    ​มองหาแรงบันดาลใจ: การเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จอาจช่วยกระตุ้นให้เรามีแรงฮึดมากขึ้น
หวังว่าตัวอย่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและนำทฤษฎีความคาดหวังไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นนะครับ
โฆษณา