วาติกันจะกลายเป็นประเทศที่ 8 ที่จะบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสีเขียว 100%
นครวาติกันเตรียมใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100% โดยสมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสเน้นย้ำถึงความจำเป็นทางจริยธรรมและสังคมในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โครงการโรงงานพลังงานแสงอาทิตย์ของวาติกันตอกย้ำความมุ่งมั่นในการรักษาความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน
นครรัฐวาติกันเตรียมเข้าร่วมกลุ่มประเทศชั้นนำที่ผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด หลังจากที่สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสทรงประกาศโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ ความคิดริเริ่มนี้ทำให้นครรัฐวาติกันเป็นประเทศที่ 8 ของโลกที่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้
ในจดหมายถึงท่าน ฟราเตลโล โซเล (Fratello Sole) สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสทรงระบุถึงแผนการสร้างโรงงานพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นที่ 424 เฮกตาร์ (2,650 ไร่) ของวาติกันใกล้กับกรุงโรม ซึ่งเป็นที่ดินเอนกประสงค์ของวาติกันอยู่ห่างจากกรุงโรมไปทางทิศเหนือ 11 ไมล์ ในพื้นที่ที่เรียกว่า ซานตามาเรีย ดิ กาเลเรีย (Santa Maria di Galeria)
พื้นที่ดังกล่าวมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับแผงโซลาร์เซลล์มากพอที่จะจ่ายไฟให้กับนครรัฐวาติกันทั้งหมด โดยโครงการนี้จะช่วยเสริมการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอยู่แล้วภายในนครรัฐแห่งนี้ ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์
พระสันตปาปาฟรานซิสมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร?
การก่อสร้างจะเกิดขึ้นบนที่ดินของวาติกันซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโรมประมาณ 11 ไมล์ ในพื้นที่ ซานตามาเรีย ดิ กาเลเรีย ปัจจุบันที่ดินนี้ใช้สำหรับออกอากาศวิทยุวาติกัน
ระบบจะรวม การผลิต ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้ากับความต้องการของที่ดินเกษตรกรรมพื้นฐาน เพื่อป้อนพื้นที่ทั้งหมดของนครวาติกัน
สำหรับการก่อสร้าง สมเด็จพระสันตปาปาได้มอบอำนาจเต็มให้คณะกรรมาธิการพิเศษ 2 คนในการดำเนินโครงการ
ความมุ่งมั่นของพระสันตปาปา
พระสันตปาปาฟรานซิสตรัสว่า“ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางสภาพอากาศมนุษยชาติมีวิธีการทางเทคโนโลยีที่จำเป็นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมนี้และผลที่ตามมาอันเลวร้ายทางจริยธรรม สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง และพลังงานแสงอาทิตย์มีบทบาทสำคัญ ”
เมื่อสร้างเสร็จ วาติกันจะเข้าร่วมกับแอลเบเนีย ภูฏาน เนปาล ปารากวัย เอธิโอเปีย ไอซ์แลนด์ และคองโก ซึ่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 99.7% ตามที่ศาสตราจารย์ มาร์ค ซี. จาค็อบสัน (Mark Z. Jacobson) แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด( Stanford University) กล่าว มีประเทศอื่นอีก 40 ประเทศที่ผลิตไฟฟ้าอย่างน้อย 50% จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น ความร้อนใต้พิภพ พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม
“เราไม่ต้องการเทคโนโลยีที่น่าอัศจรรย์ ” ศาสตราจารย์จาคอบสันกล่าวกับสื่อ 'The Independent' เมื่อเดือนเมษายน “ เราจำเป็นต้องหยุดการปล่อยมลพิษโดยทำให้ทุกอย่างเป็นไฟฟ้าและผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม น้ำ และแสงอาทิตย์ (WWS) ซึ่งรวมถึงพลังงานลมบนบก โซลาร์เซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานแสงอาทิตย์แบบเข้มข้น พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก และพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่”
การดูแลสิ่งแวดล้อมถือเป็นรากฐานสำคัญของตำแหน่งพระสันตปาปาฟรานซิส ในปี 2015 (พ.ศ. 2558) พระองค์ได้ทรงระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์เป็นปัญหาสำคัญสำหรับอนาคตของโลก ความมุ่งมั่นของวาติกันต่อความยั่งยืนได้รับการตอกย้ำอีกครั้งในปี 2022 (พ.ศ.2565) เมื่อเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับ "การแทรกแซงระบบสภาพภูมิอากาศอันเป็นอันตรายของมนุษย์"
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พระสันตปาปาฟรานซิสทรงเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพอากาศ โดยทรงอธิบายว่าวิกฤตดังกล่าวได้มาถึง “จุดที่ไม่อาจหันกลับได้” พระองค์ทรงเตือนว่า “ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องน่าตกใจ” ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับซีบีเอสนิวส์ โดยทรงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการทั่วโลกอย่างยั่งยืน นอกเหนือไปจากข้อตกลงและการลงนามในการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศเพียงอย่างเดียว
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์อันทะเยอทะยานนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความเป็นอิสระด้านพลังงานของวาติกันเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังของความทุ่มเทในการเป็นผู้นำโดยตัวอย่างในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลกอีกด้วย.
#นครวาติกัน
#สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิส
#พลังงานแสงอาทิตย์
#พลังงานสีเขียว
#พลังงานสะอาด
#การพัฒนาอย่างยั่งยืน
#ก๊าซเรือนกระจก
#ESG
#ESGuniverse
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
