9 ส.ค. 2024 เวลา 12:00 • การตลาด

คนไทยไม่กิน โชห่วยไม่อยากได้? 'Jolly Bears' เยลลี่ 300 ล้าน ตำนาน 'นุ่มๆ เหนียวๆ' เจ้าแรกในไทย

คุยกับ “นิค-พลากร” ทายาทรุ่นที่ 3 แห่ง “จอลลี่แบร์” ย้อนเส้นทางที่ไม่ง่ายในวันที่คนไทยไม่กินเยลลี่ มองอนาคตจะโตต่อต้องลุยต่างประเทศ ล่าสุดขยายโรงงานแห่งที่สองรองรับการผลิตแล้ว ยึดคำพ่อสอนเป็นผู้บริหารอย่าสั่งอย่างเดียว ต้องลงมือทำด้วย
1
ในระดับโลก “ฮาริโบ้” (Haribo) เป็นเจ้าตลาดขนมหวานประเภทเยลลี่ ส่วนในไทยพบว่า ฮาริโบ้เข้ามาภายหลัง โดย “จอลลี่แบร์” ถือกำเนิดขึ้นราวๆ 40 ปีก่อนหน้า ซึ่งเดิมที “บริษัท พงษ์จิตต์ จำกัด” บริษัทแม่ของจอลลี่แบร์ไม่ได้ผลิตและจำหน่ายเยลลี่เป็นอย่างแรก เจเนอเรชันที่ 1 เปิดโรงงานเพื่อทำลูกอมเม็ดแข็งยี่ห้อ “เฮลโหล” ออกวางขาย
แต่หลังจากผลัดใบสู่รุ่นที่ 2 พบว่า ตลาดลูกอมแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น “นิค-พลากร เชาวน์ประดิษฐ์” ทายาทรุ่นที่ 3 “จอลลี่แบร์” บอกว่า เป็นเพราะกระบวนการผลิตลูกอมมีต้นทุนถูกที่สุด ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลัก ไม่มีส่วนผสมอื่นมากมาย ไม่ซับซ้อนเท่าเยลลี่ อีกทั้งตอนนั้นก็มีแบรนด์ต่างประเทศเริ่มรุกเข้ามาทำตลาดแล้ว ทายาทรุ่นที่ 2 ผู้เป็นพ่อของพลากรจึงต้องเร่งหาจุดแข็งของตนเอง จากนั้นจึงเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศออสเตรเลีย กระทั่งพบกับขนม “นุ่มๆ เหนียวๆ” ที่ยังไม่เคยวางขายในไทยมาก่อน
ทศวรรษ 1980 ขนมเยลลี่ตรา “จอลลี่แบร์” ก็ได้ฤกษ์ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความแปลกใหม่ที่แม้นัยหนึ่งจะเป็นจุดแข็งเพราะไม่มีใครลงมาเล่น แต่ในทางตรงกันข้ามก็พบว่า เกิดความยากลำบากเช่นกัน เพราะเนื้อสัมผัสแบบเยลลี่ไม่เคยอยู่ในการรับรู้ของคนไทย ช่วงแรกที่ผลิตจอลลี่แบร์ออกมา “พลากร” เล่าว่า บรรดา “ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว” ตีของคืนเกือบหมด เพราะไม่รู้ว่า เยลลี่คืออะไร วางขายตามร้านโชห่วยก็ไม่มีคนซื้อ ขายไม่ออก
หลังจากนั้นพ่อของตนจึงกลับมาคิดหาทางทำการตลาดเพื่อสร้าง “Awareness” ในวงกว้าง จนสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการออกโฆษณาโทรทัศน์ ที่มีสโลแกน “นุ่มๆ เหนียวๆ จอลลี่แบร์” เพื่อใช้สื่อสารกับผู้บริโภค ปรากฏว่า ใช้เวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ เหตุการณ์กลับตาลปัตร บรรดายี่ปั๊วที่เคยปฏิเสธก็มาต่อคิวรอรับสินค้าถึงหน้าโรงงานทันที
2
“พอส่งไปขายครั้งแรกๆ คุณพ่อบอกว่า ลูกค้าไม่เข้าใจ ร้านก็บอกว่า ขายไม่ออก เลยกลับมาคิดว่าต้องทำโฆษณาแล้ว ซึ่งแต่ก่อนการโฆษณาก็ต้องเป็นทางโทรทัศน์ เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่า นุ่มๆ เหนียวๆ คืออะไร จึงเป็นซิกเนเจอร์เราว่า “จอลลี่แบร์ นุ่มๆ เหนียวๆ” เมื่อปล่อยโฆษณาไปสิ่งที่เกิดขึ้น คือกระแสดีมาก ใช้เวลาประมาณ 1 ถึง 2 สัปดาห์เท่านั้น ปรากฏว่า มียี่ปั๊วแห่มารอรับหน้าโรงงาน เด็กๆ อยากกินเพราะมันแปลกใหม่ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วรสชาติก็อร่อยด้วย”
1
หากถามว่า “จอลลี่แบร์” มีที่มาจากอะไร ผู้บริหารรุ่นที่ 3 บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในยุคผู้เป็นพ่อชื่นชอบเพลงของศิลปิน “ชาร์ลี วอล์กเกอร์” (Charlie Walker) ชื่อบทเพลง “He’s a Jolly Good Fellow” มองคำว่า “Jolly” ดูน่าสนใจ จึงนำมาผสมกับคำว่า “Bear” ที่มีรากมาจากหมีโพลาร์แบร์ กลุ่มเป้าหมายของขนมก็เป็นเด็กๆ อยู่แล้ว รูปหมีจึงน่าจะเหมาะสม เด็กๆ เห็นแล้วน่าจะให้ความสนใจและชื่นชอบได้ไม่ยาก
คำสอนของพ่อที่จดจำและนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ พลากรบอกว่า พ่อย้ำเสมอว่าต้องมีใจรักในสิ่งที่ทำ ทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด ต้องศึกษา เข้าใจ ลงลึกให้เต็มที่ ทั้งเรื่องสินค้าและวัฒนธรรมองค์กร ไม่ใช่เข้ามาทำเพราะเป็นทายาท บางอย่างอาจจะสอนกันไม่ได้ ต้องเกิดความรักและความเชื่อในสิ่งนั้นจริงๆ
ส่วนตัวพลากรมองว่า จอลลี่แบร์เป็นธุรกิจที่ทำให้ตนเองมีทุกอย่างในวันนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้คาดหวังให้ลูกๆ ต้องทำได้เหมือนตน หากอนาคตจะมีผู้บริหารมืออาชีพเข้ามารับช่วงต่อ และทำให้ธุรกิจไปต่อได้อย่างยั่งยืนก็เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันต่อไป
“จะเข้าใจธุรกิจได้ต้องลงไปดูด้วยตัวเอง ฟังจากคนอื่นก็จะได้ข้อมูลอีกแบบ สำคัญสุดคือต้องเดิน สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อสอนแล้วผมว่าสำคัญมาก คือต้องสอนและทำจริงๆ สั่งงานอย่างเดียวไม่ได้ ผมเจอหลายครั้งมากที่พนักงานเอาข้อมูลอย่างหนึ่งมาให้เรา พอลงไปดูเองกลับเจอข้อมูลอีกแบบ
ซึ่งถ้าเกิดเราหยิบสิ่งนั้นมาตัดสินใจตั้งแต่แรกก็อาจจะกลายเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ผมเป็นรุ่นที่สาม รุ่นที่สี่ก็คือลูกๆ ผมแล้ว ต้องยอมรับว่า เราอาจจะไม่สามารถคาดหวังให้เขาทำเหมือนที่เราทำได้ จะทำให้ยั่งยืนก็ต้องให้ผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาทำให้ธุรกิจเติบโต แต่ทุกอย่างที่ทำก็ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป”
อ่านต่อ:
โฆษณา