21 ก.ค. 2024 เวลา 02:41 • การศึกษา

โจทก์ไม่นำตัวสายลับมาเบิกความในชั้นศาล ย่อมทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2554
พยานโจทก์ทั้งสองปากไม่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะสายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 แต่สายลับเป็นประจักษ์พยานที่ ป.วิ.พ. มาตรา 95(2) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ยอมให้รับฟังได้เพราะเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยินและทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง ทั้งการที่สายลับมาเป็นพยาน ศาลก็มีอำนาจที่จะถามสายลับด้วยถ้อยคำใด ๆ ตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อให้คำเบิกความของสายลับบริบูรณ์หรือชัดเจนยิ่งขึ้นหรือ
เพื่อสอบสวนถึงพฤติการณ์ที่ทำให้สายลับเบิกความเช่นนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 119 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
การที่โจทก์อ้างว่าสายลับเป็นผู้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ได้จากจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่ได้นำสายลับซึ่งเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์สำคัญอันจะกล่าวหาจำเลยที่ 1 ว่ากระทำความผิดในคดีอุกฉกรรจ์มาลงโทษ
ส่งผลให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบในเชิงคดีไม่มีโอกาสได้ถามค้านสายลับพยานโจทก์เพื่อซักไซ้ข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดปราศจากความคลุมเครือ อันเป็นการคานอำนาจกันระหว่างเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งจับกุมเองและสอบสวนเอง
ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารกับศาลยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการที่จะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดจริง จึงจะลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ การที่โจทก์ไม่นำสายลับมาเบิกความเปิดโอกาสให้มีการปรักปรำจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้กระทำความผิดได้โดยง่ายโดยจำเลยที่ 1 ไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ปรักปรำตนเป็นใคร เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหรือไม่
พฤติการณ์ที่ใช้สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนแล้วไม่นำสายลับมาเบิกความ ถือได้ว่าขัดต่อหลักนิติธรรม เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองปากเป็นพยานบอกเล่า ย่อมมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นพี่สาวของจำเลยที่ 2 บ้านของจำเลยที่ 1 อยู่ห่างจากบ้านของจำเลยที่ 2 ประมาณ 50 เมตร
ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ราคา 200 บาท ให้แก่สายลับ โดยดาบตำรวจณัฐพรและสิบตำรวจโทวุฒิชัยมาเบิกความว่า ดาบตำรวจณัฐพรตรวจค้นตัวสายลับแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จึงมอบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อให้สายลับไป
ส่วนสิบตำรวจโทวุฒิชัยได้รับมอบหมายให้เดินทางไปดูสายลับว่าขับรถไปทางใด และเห็นสายลับขับรถจักรยานยนต์ไปจอดที่บ้านจำเลยที่ 2 แต่ไม่เห็นเหตุการณ์อย่างอื่น ประมาณ 5 นาที สายลับกลับมามอบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ให้แก่ดาบตำรวจณัฐพร
โดยสายลับแจ้งว่าซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งรับเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด มาจากจำเลยที่ 2 แล้วนำมามอบให้สายลับ ดาบตำรวจณัฐพรกับพวกจึงเข้าทำการจับกุมจำเลยทั้งสอง
ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิด ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี
ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยที่ 1
เหตุผลที่ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยที่ 1 เพราะ
1. พยานโจทก์ทั้งสองปากไม่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะสายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1
2. แต่สายลับเป็นประจักษ์พยานที่ ป.วิ.พ. มาตรา 95(2) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ยอมให้รับฟังได้เพราะเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยินและทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง ทั้งการที่สายลับมาเป็นพยาน ศาลก็มีอำนาจ
ที่จะถามสายลับด้วยถ้อยคำใด ๆ ตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อให้คำเบิกความของสายลับบริบูรณ์หรือชัดเจนยิ่งขึ้นหรือเพื่อสอบสวนถึงพฤติการณ์ที่ทำให้สายลับเบิกความเช่นนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 119 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
3. การที่โจทก์อ้างว่าสายลับเป็นผู้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ได้จากจำเลย ที่ 1 แต่โจทก์ไม่ได้นำสายลับซึ่งเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์สำคัญอันจะกล่าวหาจำเลยที่ 1 ว่ากระทำความผิดในคดีอุกฉกรรจ์มาลงโทษ ส่งผลให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบในเชิงคดี
ไม่มีโอกาสได้ถามค้านสายลับพยานโจทก์เพื่อซักไซ้ข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดปราศจากความคลุมเครือ อันเป็นการคานอำนาจกันระหว่างเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งจับกุมเองและสอบสวนเอง ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารกับศาลยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการที่จะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดจริง จึงจะลงโทษจำเลยที่ 1 ได้
4. การที่โจทก์ไม่นำสายลับมาเบิกความเปิดโอกาสให้มีการปรักปรำจำเลย ที่ 1 ให้เป็นผู้กระทำความผิดได้โดยง่ายโดยจำเลยที่ 1 ไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ปรักปรำตนเป็นใคร เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหรือไม่
5. พฤติการณ์ที่ใช้สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนแล้วไม่นำสายลับมาเบิกความ ถือได้ว่าขัดต่อหลักนิติธรรม
6. เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองปากเป็นพยานบอกเล่า ย่อมมีน้ำหนักน้อย
7. พยานหลักฐานโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
8. การที่โจทก์อ้างว่า โจทก์ไม่นำสายลับมาเบิกความเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์เนื่องจากหากเปิดเผยตัวสายลับอาจจะได้รับอันตรายและสายลับมักจะแฝงตัวคลุกคลีอยู่กับผู้กระทำความผิดจนผู้กระทำความผิดไว้วางใจยอมขายเมทแอมเฟตามีนให้
9. ฉะนั้น หากมีสายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจริง สายลับก็อาจได้รับอันตรายหลังจากจำเลยที่ 1 ถูกจับกุม เพราะจำเลยที่ 1 ย่อมรู้จักหน้าตาสายลับตั้งแต่ขณะที่สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนแล้ว
10. ตรงกันข้ามหากนำสายลับมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงและผ่านการถามค้านของจำเลยที่ 1 ได้สมเหตุสมผล ศาลอาจเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์แล้วลงโทษจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำยิ่งทำให้สายลับมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
โฆษณา