23 ต.ค. เวลา 03:30 • กีฬา

เคอร์ติส โจนส์ : โดนด่าจนได้ดีหรือเปลี่ยนลูกพี่เป็นอาร์เน่อ ? | Main Stand

เคอร์ติส โจนส์ ขึ้นทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ปี 2019 .. จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านเวลามาแล้วถึง 5 ปี และเขาก็อายุ 23 ปีแล้ว ซึ่ง ณ ตอนนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาในสีเสื้อหงส์แดงเลยก็ว่าได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามักจะโดนติติงวิจารณ์ สลับกับการชื่นชมเป็นประจำ เรียกง่าย ๆ ว่าไม่สม่ำเสมอ คำถามคือเขาจะก้าวพ้นการเป็นดาวรุ่งและเป็นที่พึ่งของทีมได้เมื่อไหร่ ? แล้วตอนนี้ละ เขามาใกล้กับการเป็นนักเตะตัวหลักของทีมชุดปัจจุบันหรือยัง ?
1
ติดตามเรื่องราวของเขาที่ Main Stand
พรสรรค์แห่ง เมลวู้ด
เคอร์ติส โจนส์ ถือเป็นผลผลิตในแบบที่แฟนบอลลิเวอร์พูลมอบใจให้และส่งแรงเชียร์เสมอ เพราะนี่คือนักเตะที่เกิดและโตในเมืองลิเวอร์พูล เล่นในระบบอคาเดมี่ของสโมสรมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าเป็นสายเลือดของเมืองนี้ก็คงไม่ผิดนัก
โจนส์ อยู่กับทีมเยาวชนของ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเปลี่ยนโค้ชหลายคนเปลี่ยนทีมหลายรุ่นเขาก็เติบโตผลิบานในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดในรอบหลายสิบปีพอดิบพอดี นั่นคือยุคที่มี เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาสร้างทีมและทำให้ลิเวอร์พูลอยู่ในโฉมใหม่ที่ใครไม่สามารถดูถูกได้อีกต่อไป
สิ่งที่ คล็อปป์ ย้ำและใส่ใจเสมอคือการสอดส่องมองหาเด็ก ๆ จากอคาเดมี่ของทีมขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ เขาทำให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เป็นตัวหลักของทีมได้ตั้งแต่อายุ 19 ปี ดังนั้นเขาจึงมอบหมายให้ เป๊ป ไลน์เดอร์ส ผู้ช่วยของเขาเป็นคนดูแลทีมเยาวชนอย่างใกล้ชิด หากมีเด็กคนไหนที่น่าสนใจ ชื่อนั้นจะถูกส่งมาถึงคล็อปป์ โดยตรง และต่อจาก เทรนท์ คนที่พวกเขาหวังไว้สูงมากก็คือ เคอร์ติส โจนส์ นี่แหละ
โจนส์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่ ไลนเดอร์ส ส่งรายงานความพร้อมให้ คล็อปป์ มากที่สุดคนหนึ่ง โดยถูกจัดเป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนกลุ่ม Talent Group ที่พร้อมต่อยอดในอนาคต ... และในปี 2018 ตอนที่เขาอายุ 18 ปี คล็อปป์ ก็เชื่อมั่นและพร้อมจะใช้งานเขาในฐานะส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในเกม เอฟเอ คัพ กับ วูล์ฟส์ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่คล็อปป์ เล็งจะใช้เขามานานแล้ว
"เมื่อมองออกจากหน้าต่างที่ออฟฟิศ ผมต้องบอกว่าผมร้องว้าวออกมาเพราะผมได้เห็น เคอร์ติส โจนส์ เล่น ... คำถามต่อมาที่ผมถาม ลินเดอร์ส คือ หมอนี่อายุเท่าไหร่ ? พอผมได้ยินคำตอบว่า 15 ปี ผมยังไม่อยากจะเชื่อ เด็กอายุ 15 ปี ไม่น่าเก่งได้ขนาดนั้น"
คล็อปป์ พยายามหาโอกาสให้ โจนส์ มาโดยตลอด และเกมสร้างชื่อเขาก็มาถึง ในเกม เอฟเอคัพ เมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ กับ เอฟเวอร์ตัน เมื่อต้นปี 2020 ... เกมนั้น ถือเป็นเกมแจ้งเกิดเพราะ โจนส์ ได้ยิงประตูสุดสวยด้วยการปั่นโค้งจากนอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งและโค้งเข้าเช็ดคานบนกระทบพื้น ก่อนจะเด้งข้ามเส้นประตูไปแบบสวยสดงดงาม
ประตูเปิดตัวแบบนี้ทำให้หลายคนคิดไปไกลว่าในวัย 18 ปี เขายังมีช็อตมหัศจรรย์แบบนี้ให้เห็น แล้วในอนาคตข้างหน้าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน ? บ้างก็ว่าเขาอาจจะเป็นจอมทัพแบบ สตีเว่น เจอร์ราร์ด คนต่อไปเลยก็มี
1
ไม่แปลกที่แฟนบอลจะหวัง แต่ในทางตรงกันข้าม คำชมและการคาดเดาอนาคตในเชิงบวกแบบนี้ ก็ส่งผลต่อนักเตะอายุน้อยเช่นกัน ... วันใดที่เขาสร้างจังหวะมหัศจรรย์ไม่ได้ เขาก็จะถูกมองว่าเป็นนักเตะระดับ "งั้น ๆ" และวันไหนที่เขาเล่นด้วยฟอร์มระดับงั้น ๆ มีส่วนร่วมน้อย เขาก็จะถูกมองว่ายังไม่ดีพอจะขึ้นชั้นทีมชุดใหญ่ ... นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ โจนส์ ตอนที่เขาขึ้นมาใหม่ ๆ
รู้ว่าเก่ง ... แต่ทำยังไงให้ดีที่สุด
ปัญหาหลังจากนั้นคือ โจนส์ ยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ในจุดที่เป็นแค่ตัวหมุนเวียนเท่านั้น แม้ ลิเวอร์พูล จะถ่ายเลือดในตำแหน่งมิดฟิลด์มาหลายรุ่นตั้งแต่ คล็อปป์ เข้ามาทำทีม แต่ทว่าจนกระทั่ง คล็อปป์ ประกาศวางมือก็ไม่มีปีไหนสักปีที่พูดได้เต็มปากว่า โจนส์ คือนักเตะตัวหลักที่ทีมมองหาและพึ่งพาได้เสมอ
จริง ๆ มันก็ไม่เลวนักสำหรับนักเตะอายุเท่านี้และมีจำนวนเกมที่ได้ลงเล่นกับทีมใหญ่อย่างลิเวอร์พูลมากแบบที่ โจนส์ ทำ แต่ปัญหาคือความคาดหวังในตัวของเขาสูงมาโดยตลอด และมันยังไม่ถึงภาพนั้นที่แฟน ๆ คาดหวังไว้ คำถามคึอทำไมเขาไปไม่ถึงตรงนั้นสักที ?
เรื่องนี้ เป๊ป ไลน์เดอร์ส ซึ่งชื่นชอบ โจนส์ มาก ออกมาอธิบายว่า โจนส์ คือนักเตะที่มีพร้อมทั้งพรสวรรค์ และเรื่องของศักยภาพร่างกายที่แข็งแรง ฟิต วิ่งได้ทั้งวัน แต่ปัญหาของ โจนส์ คือเมื่อถึงเวลาเข้าได้เข้าเข็ม เขามักจะโชคร้ายมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด ครั้นจะกลับมาแย่งตำแหน่งก็โดนนักเตะคนอื่น ๆ ที่รักษาฟอร์มและความฟิตได้ดีกว่าขวางไว้ จนเบียดไม่ได้
โดย ไลน์เดอร์ส ถึงกับพูดว่า โจนส์ คือ "เครื่องจักรทางกายภาพที่รอการปรับปรุง" เลยทีเดียว
"ผมรักเด็กคนนี้มาก มีศักยภาพสูงมาก แต่ทีมอย่างลิเวอร์พูลเราหยุดเดินเพื่อรอใครไม่ได้ มันต้องก้าวไปข้างหน้าตลอด และถ้าเขาจะเป็นตัวหลักของทีมได้เราต้องแน่ใจว่าเขาต้องมีศักยภาพมากพอที่จะแสดงออกมาในสนามอย่างเต็มที่"
"เขายังเด็กมาก แต่สิ่งที่ผมเห็นในตัวเขาคือศักยภาพที่ซ่อนเอาไว้ และมันเป็นหน้าที่ของเราด้วยที่ต้องช่วยให้เขามีพัฒนาการไปในทางที่ถูกต้อง" ไลน์เดอร์ส กล่าว
นอกจากเรื่องการบาดเจ็บที่รบกวนตลอดในทุกซีซั่นแล้ว สิ่งหนึ่งที่ โจนส์ ขาดคือทัศนคติในการเล่นที่ถูกต้อง ปัญหาอาจจะเริ่มต้นจากลูกยิงสุดสวยในเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ เพราะเขาพยายามจะทำอะไรยากแบบนั้นเสมอ เรียกง่าย ๆ ตามภาษาฟุตบอลก็คือ เมื่อพยายามทำในสิ่งที่มหัศจรรย์ตลอดเวลา เขาก็จะเล่นแบบไม่เป็นเกม ...จังหวะยิง ก็ไม่ยิง จังหวะจะเปิด ก็ไม่เปิด มันเลยผิดไทมิ่งไปหมด
เรื่องนี้คนที่ทำงานกับเขาและใช้เขาเป็นประจำในทีมชาติอังกฤษรุ่นเยาวชนอย่าง ลี คาร์สลี่ย์ ก็ออกมาพูดถึงปัญหาดังกล่าวว่า ปัญหาของ โจนส์ คือการพยายามเล่นเพื่อตัวเองมากเกินไปในบางครั้ง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ที่ต้องแก้ไขในเชิงทัศนคติ
"สำหรับผมแล้ว เคอร์ติส ไม่ควรพยายามคิดหรือพยายามจะเล่นเพื่อตัวเองมากนัก ผมเข้าใจว่าเขาคาดหวังกับตัวเองไว้สูงพยายามจะเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในทุก ๆ วันทุก ๆ เกม แต่บางครั้งก็ไม่จำเป็นที่ต้องฝืนตัวเองเพื่อไปถึงจุดนั้น"
"ผมคิดว่าเขาสามารถยิงและแอสซิสต์ได้มากกว่านี้ แต่มันแค่ต้องแสดงออกมาให้ถูกที่ถูกเวลา ผมเชื่อว่าถ้าไม่ฝืน มันจะมาเองโดยธรรมชาติ" คาร์สลี่ย์ ที่ภายหลังเป็นกุนซือใหญ่ทีมชาติอังกฤษแบบขัดตาทัพ กล่าว
กลับมาถึงคนสำคัญที่สุดในเรื่องนี้อย่าง คล็อปป์ ถ้าให้พูดถึงจุดอ่อนของ โจนส์ สิ่งที่เขาพูดมาแทบไม่ต่างกับทั้ง ไลน์เดอร์ส และ คาร์สลี่ย์ เลย แม้จะชอบ โจนส์ ในฐานะดาวรุ่งแค่ไหน แต่เหตุผลเหล่านี้ที่กล่าวมาก็ไม่ได้ทำให้ คล็อปป์ เลือกโจนส์เหนือกองกลางคนอื่น ๆ
แต่ในทางกลับกัน เขาก็เฝ้ารอ ให้โอกาส และพยายามเคี่ยวเข็นโจนส์เสมอ ... หลายครั้งที่มีทีมติดต่อซื้อตัว โจนส์ เข้ามา คล็อปป์ เป็นคนตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอเหล่านั้นทั้งสิ้น คล็อปป์ ศรัทธาในตัวของ โจนส์ เช่นเดียวกับดาวรุ่งอย่าง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ เป็นอย่างมาก เขาเชื่อว่าทั้งคู่จะเป็นสมบัติล้ำค่าของทีม และไม่ยอมขายขาดให้กับใคร เพียงแต่รอวันให้พวกเขาเติบโตและจับจุดอะไรบางอย่างให้ได้เพื่อกลายเป็นคนสำคัญของทีมในอนาคต
เรียนรู้ ปรับตัว และโค้ชคนใหม่
ในช่วงครึ่งซีซั่นสุดท้ายก่อน คล็อปป์ ลาออกในฤดูกาล 2023-24 โจนส์ เองก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งสำคัญ เพราะนับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ตอนอายุ 18 ปี เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาก เพียงแต่เขาอยากจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และมีเป้าหมายที่ชัดขึ้น เปลี่ยนแปลงทัศนคติให้ดีขึ้นด้วย
"ผมมุ่งแต่ไปที่การทำประตูและแอสซิสต์ คว้าบอลและครองบอลเอาไว้ ... ทั้งที่ความจริงแล้วยังมีอีกหลายรายละเอียดมากในส่วนของเกมที่ผมได้หลงลืมไป" โจนส์กล่าวกับ Liverpoolfc.com
"ตอนนี้ผมรับทราบแล้วว่าผมจะต้องทำอย่างไรต่อไปบนเส้นทางนี้ ผมรู้สึกถึงความหมายของการลงเล่นในแต่ละนัด ผมเข้าใจว่าทุกคนคาดหวังอะไรจากผมในฐานะกองกลางตำแหน่งหมายเลข 8 ของทีม ... ผมพร้อมจะวิ่งเพรสซิ่งเพราะนั่นเป็นจุดเด่นของผมมาเสมอ ผมจะเคลื่อนบอลให้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น และถ้าผมเล่นให้ได้ตามนี้ผมมั่นใจว่าประตูและแอสซิสต์ที่ผมวิ่งตามหา มันจะย้อนกลับมาหาผมเอง" โจนส์ กล่าวในปี 2023
ณ ตอนนั้น โจนส์ อยู่ในสถานะตัวสำรองและตัวโรเตชั่นมาตลอดในยุคของ คล็อปป์ สุดท้ายกุนซือชาวเยอรมันก็อำลา เปิดทางให้โค้ชใหม่อย่าง อาร์เน่อ ชล็อต เข้ามาคุมทีม ซึ่ง ณ จุดนี้เป็นจุดที่ โจนส์ ยอมรับว่ามีผลต่อแนวทางการเล่นและความมั่นใจของเขาเป็นอย่างมาก เพราะแนวทางการเล่นของ ชล็อต ที่มีเร็ว มีช้า มีดึงจังหวะ มีเดินหน้า มันดูจะเหมาะกับสิ่งเป็นตัวตนของเขามาก ๆ
"ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในแง่ของสไตล์การเล่นของตัวเองที่เหมาะกับทีม ผมรับรู้ได้ผ่านแผนการฝึกซ้อม และผมสนุกกับมันมาก ๆ ชล็อต ให้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มากมายหลายเรื่อง นี่คือช่วงเวลาสำคัญในการปรัยตัวและเปลี่ยนแปลงของผม แนวทางการเล่นที่เขาวางไว้เป็นสิ่งที่ผมรักมันเลย เพราะผมสามารถได้เล่นกับลุกฟุตบอลมากขึ้น"
จากสิ่งที่ โจนส์ บอกมาในช่วงเวลา 1 ปีหลังสุด เป็นช่วงเวลาที่เขาตกผลึกบางอย่างได้ เขาลดอัตตาลงและเพิ่มความเป็นทีมมากขึ้น ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทุกคนอยากจะได้จากเขามาเสมอ และมาถึงตอนนี้เหมือนมันเป็นสมดุลที่มาเจอกันพอดี เพราะไม่ใช่แค่เขาปรับหาทีมเท่านั้น แต่ระบบและวิธีการของโค้ชคนใหม่ก็มีการปรับให้เหมากับวิธีการเล่นของเขามากขึ้นด้วย
คุณจะได้เห็น โจนส์ เคลื่อนที่อย่างอิสระในแดนกลางมากขึ้นในยุคชอง ชล็อต เขาจะมีเวลาครองบอลไว้กับตัว มีการดึงจังหวะ และการวิ่งสอดเข้าไปในกรอบเขตโทษมากขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่าบอลของ ชล็อต ทำให้กองกลางมีส่วนร่วมกับเกมมากขึ้นกว่ายุคของ คล็อปป์ ที่บอลจะเดินทางจากหลังไปหน้า และหน้าไปหลังอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งกองกลางมีหน้าที่เป็นแค่ตัวช่วยเล่นเกมรุก และเกมรับ มากกว่าที่เป็นหัวใจในการเล่นของทีมเหมือนตอนนี้
"ในตอนนี้กองกลางจะมีบทบาทสำคัญกับทีมมากกว่าเดิม และผมเข้าใจหน้าที่ตรงนี้ดีมาก ทีมของเรายังมี โม ซาลาห์ เป็นหลักในการทำประตู แต่วิธีการเล่นของเราจะไม่กระแทกกระทั้น มันจะสบาย ๆ และเน้นย้ำไปที่การเข้าทำแบบเล่นเป็นทีมโดยที่เราไม่รีบร้อนที่จะโจมตี ... เราจะทำลายพวกเขาด้วยวิธีการเล่น เช่นเดียวกับตอนที่เราเสียบอล เราจะเพิ่มสปีดและแย่งมันกลับมาให้ได้"
แม้ในช่วงต้นซีซั่น โจนส์ จะได้รับบาดเจ็บจนพลาดไปใน 3 เกมแรก ทว่าเมื่อเขากลับมาฟิตก็เห็นได้ชัดว่า ชล็อต ใช้งานเขาลงสนามในเกมลีกทุกนัดหลังจากนั้น แน่นอนที่สุดว่าเขาเป็นเบอร์ 8 ในแบบที่ ชล็อต ต้องการ และ ณ ตอนนี้เขาแทบจะเป็นกองกลางที่พร้อมจะสอดแทรกแย่งตำแหน่งกับ โดมินิก โซโบสไล และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ตลอดเวลา แถมเมื่อได้ลงสนามผลงานก็จับต้องได้ด้วย
ในเกมกับ เชลซี เขาเรียกจุดโทษ และยิงอีก 1 ประตูชัยที่ แอนฟิลด์ ให้ ลิเวอร์พูล ชนะไป 2-1 ... โดยในเกมนี้คำชมที่ได้รับถล่มทลาย หนึ่งคนที่ออกปากชมผ่านสื่อคือ แดนนี่ เมอร์ฟี่ ที่บอกว่าในเรื่องของเทคนิคไม่มีใครสงสัยในตัวโจนส์นานแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาไม่เคยทำได้เริ่มเป็นจริงแล้ว นั่นคือเรื่องของการเล่นเป็นเกม และเป็นทีมแบบเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งนั่นคือสิ่งที๋โค้ชทุกคนอยากได้จากเขามากที่สุด
"โจนส์ เป็นกองกลางในแบบโมเดิร์น สิ่งที่เขาขาดไปคือประตูและแอสซิสต์ ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นเพราะการเรียนรู้ของเขา ผมคิดว่าเขาพาตัวเองไปอยู่ที่ถูกที่ถูกตำแหน่งได้มากขึ้นเยอะเลย ในพื้นที่สำคัญเราจะเห็นเขาปรากฏตัวเสมอ นี่แหละกองกลางที่ดีต้องเป็นแบบนั้น"
"เขาไม่ละเลยหน้าที่ในเกมรับ และในเกมรุกเขาก็ได้รับอิสระจากเฮ้ดโค้ชที่ปล่อยให้เขาได้เล่นตามจินตนาการของตัวเอง ... วันนี้ทุกสิ่งที่ทุกอย่างมาบรรจบกันจนได้ และผมกล้าพูดได้เลยว่าฟอร์มแบบนี้แหละที่ ลิเวอร์พูล รอคอยอยากจะเห็นจากเขา" เมอร์ฟี่ กล่าวหลังเกม
อนาคตที่สดใสในยุค ชล็อต รอเขาอยู่ ณ ตอนนี้ โจนส์ ได้คำตอบแล้วว่าอะไรที่ขาดหายไป ... คำตอบก็คือ ที่เขาถูกบ่นหรือวิจารณ์มาในอดีตนั้นมันถูกต้องแล้ว และตอนนี้เขาเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยการพยายามคิดถึงทีมก่อนประตูและแอสซิสต์ของตัวเอง
และอย่างที่สอง แท็คติกของทีมก็เสริมส่งให้กองกลางในแบบของเขาได้แสดงศักยภาพที่มีออกมาอย่างเต็มที่ ... อย่างที่เมอร์ฟี่บอก ทุกอย่างมาบรรจบกันแล้ว สิ่งที่เคยพยายามมานานกำลังผลิดอกออกผล ... นี่คือซีซั่นที่น่าติดตามอย่างยิ่งสำหรับกองกลางวัย 23 ปีคนนี้
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
โฆษณา