Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เขียนไว้ให้เธอ
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
26 ต.ค. 2024 เวลา 07:38 • ความคิดเห็น
ประโยคเปลี่ยนชีวิตในระดับต้อง “สัก”
พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์จะบอกนักเรียนที่อยู่ในคลาสเสมอว่าเวลาฟังวิทยากรนั้น วิทยากรคนเดียวกันแต่ละคนก็จะขีดเส้นใต้ประโยคไม่เหมือนกัน ประโยคที่สะกิดใจในระดับขีดเส้นใต้ในชีวิตเราเวลาได้ยินหรือได้ฟังนั้นมีหลายระดับ บางประโยคฟังแล้วก็ได้คิดตาม บางประโยคก็ต้องรีบจดเพื่อไปลองทำตาม
1
แต่ประโยคในระดับเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมองของตัวเราไปเลยนั้น นานๆ จะเกิดขึ้นซักครั้ง พอเกิดขึ้นแล้วก็จะอยู่กับเราไปชั่วชีวิตและมีอิทธิพลต่อการคิด
การกระทำของเราอยู่ตลอด และจะมาช่วยชีวิต ช่วยเป็นเข็มทิศนำทางตั้งแต่ได้ยินประโยคนั้น
เมื่อวันก่อน ผมเจอน้องคนนึงที่อ่านบทความผมและมีประโยคในระดับเปลี่ยนชีวิตผมที่เพิ่งได้ยินมาเป็นชื่อบทความ น้องเขาเล่าว่าเป็นประโยคเดียวกันที่เขาขีดเส้นใต้ไว้ และชอบในระดับสูงสุดมานาน
เขาบอกว่าเป็นปรัชญาญี่ปุ่นที่ตอนที่เขาได้ยินนั้นไม่มีใครรู้จักเลย แต่มันโดนใจเขามากๆ และเปลี่ยนชีวิตเขาตั้งแต่วันนั้น แล้วน้องเขาก็โชว์ประโยคเปลี่ยนชีวิตเขาให้ดู ประโยคนั้นอยู่บนแขนด้านใน เป็นรอยสักน้องเขาสักไว้เพื่อเตือนใจตัวเองให้ได้เห็นตลอดเวลา
ขีดเส้นใต้ให้ชัดในระดับนั้นเลย…
ผมก็เลยมานั่งคิดว่ามีประโยคอะไรที่เปลี่ยนชีวิตผมบ้างในวัยห้าสิบกว่าปี ในระดับที่ถ้าสักได้ก็คงสักบนแขนซ้ายแขนขวา หน้าอก หลังและคอ แต่ที่ไม่สักเพราะกลัวเจ็บ แต่ก็นึกตามช่วงอายุแล้วก็นึกได้ในทันทีอยู่ห้าประโยคพร้อมกับหนึ่งประโยคที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตแต่ยังไม่ตกผลึก ยังค้างอยู่ในหัวเพราะเพิ่งได้ยินเมื่อไม่กี่วันก่อนอีกหนึ่งประโยค ก็เลยอยากมาแบ่งปันเผื่ออาจจะเป็นประโยคเปลี่ยนชีวิตในระดับต้องสักกันก็ได้นะครับ
ประโยคแรก : อื่นๆ อีกมากมาย
1
ประโยคนี้ได้ยินครั้งแรกในวัยที่ยังไม่ถึงยี่สิบ ผมกำลังเรียนอยู่ปีสอง เป็นชื่ออัลบั้มและเป็นเพลงในอัลบั้มของวงเฉลียง เพลงนี้แต่งโดยพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ที่ยังเป็นหนุ่มน้อยในยุคนั้น ก่อนที่จะกลายเป็นสุดยอดนักคิดแห่งยุคสมัยในเวลาต่อมา
ในเพลงนั้นมีท่อนหนึ่งเขียนไว้ว่า เด็กหนีไม่ยอมเรียน โดดเรียนเพราะเหตุใด ใครตอบได้ไหม… เด็กไปเพราะใจเบ่ง แม่ให้ไปขายของ ครูสอนไม่ดีเอง เด็กรักเป็นนักเลง… อื่นๆอีกมากมาย
เด็กในวัยสิบเจ็ดผู้ซึ่งยังอ่อนต่อโลกตอนนั้นฟังแล้วหลอนจนเอาออกจากหัวไม่ได้ เด็กที่หนีเรียนก็ไม่ได้จะเลวเสมอไป มันอาจมีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้เขาไม่มาเรียนก็ได้ ทำให้หลังจากนั้น ผมจะไม่ฟันธงหรือ judge อะไรเลยถ้ายังไม่ได้ถามสาเหตุ และมากไปกว่านั้น ทำให้ผมเข้าใจถึงคำว่าเมตตาได้ชัดเจนเวลาเป็นหัวหน้าคน ลูกน้องคนนี้ทำงานไม่ดี มาสาย ก่อนที่จะไปดุด่าว่ากล่าว สาเหตุอาจจะเป็นเรื่องที่เรานึกไม่ถึงก็ได้ ควรจะถามไถ่กันด้วยความเมตตาและเป็นกลางไว้ก่อน
หลักคิดนี้รวมถึงคนรอบข้างและเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นอีกด้วย ไม่เว้นแม้แต่เรื่องดังๆล่าสุดอย่าง the icon หลักคิดนี้ก็โผล่ขึ้นมาในหัวตอนอ่านข่าวต่างๆเช่นกัน
อื่นๆอีกมากมายที่ไม่รู้ อาจจะจริง เราเห็นอยู่ เผื่อใจไว้ที่ยังไม่เห็น… เพลงเขาจบไว้แบบนั้นเลยครับ
ถ้าสักได้ผมคิดว่าจะสักไว้ที่แขนซ้ายเลย เพราะผมถนัดซ้าย จะได้เห็นชัดและบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่จะโมโหโทโสกับเรื่องใดๆ จะได้ยกแขนข้างนี้ขึ้นมาดูก่อนเป็นอย่างแรก…
ประโยคที่สอง : จิตใจที่ดีจะอยู่ในร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น
1
ประโยคนี้จริงๆ ผมเห็นตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ เป็นภาษาลาตินที่ทางเข้าของโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาที่ผมเรียน โรงเรียนอัสสัมเล่นกีฬากันหนักมาก ผมผู้ซึ่งไม่เก่งอะไรเลย ออกไปในทางห่วยก็อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวไป
ในตอนนั้นมีหนังจีนกำลังภายในดังอยู่หลายเรื่อง กระบี่ไร้เทียมทานก็มาในยุคนั้น พระเอกที่เก่งๆมักมีวิทยายุทธ์ที่เป็นลมปราณจากภายใน ผมเลยคิดมาตลอดว่าถ้ามีลมปราณ ร่างกายจะแข็งแกร่งเอง ก็เลยงงๆ กับประโยคนี้ว่าร่างกายแข็งแรงแล้วใจจะดีได้ไง ใจดีก่อนสิ ร่างกายจึงจะดี
2
มาเข้าใจจริงๆคือตอนป่วยหนักเพราะอ้วน ไม่ออกกำลัง ไม่ดูแลตัวเองจนต้องถึงกับเข้า CCU ในวัยสามสิบเจ็ด และเป็น panic disorder อยู่อีกสามเดือน ในตอนที่เป็นนั้นใครๆก็บอกให้นั่งสมาธิ ทำยังไงก็ไม่หายจนตัดสินใจวิ่งและลดความอ้วน พอหัวใจแข็งแรง ร่างกายดี จิตใจที่เครียด วิตกจริตจนเป็น panic ก็ดีขึ้นและหายในที่สุด และมีผลดีกว่านั้นอีกคือทำงานก็อึดขึ้น อารมณ์ที่เคยโมโหง่ายก็น้อยลง
1
ผมถึงมาเข้าใจประโยคนี้อย่างชัดเจนว่า ถ้าสุขภาพไม่ดี ไม่มีทางที่ใจจะสงบได้ ก็เลยดูแลตัวเองอย่างระมัดระวังตั้งแต่นั้นมา และก็เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นระยะเวลาป่วย เวลาไม่ป่วยเราจะคิดทำอะไรหลายๆ อย่างเสมอ อยากทำโน่นทำนี่ แต่เวลาป่วยนี่เราคิดอย่างเดียวเลย ก็คืออยากหายป่วย
ประโยคนี้ถ้ากล้าสักก็คงสักที่แขนขวา เพราะตื่นเช้ามาจะได้เตือนใจว่าอย่าขี้เกียจ ให้ออกไปวิ่ง ร่างกายจะได้ดี จิตใจก็จะดีตาม..
ประโยคที่สาม : ปัญหาวันพรุ่งนี้ก็ให้ตัวฉันวันพรุ่งนี้จัดการละกัน
ประโยคนี้ขีดเส้นใต้ไว้ตอนอายุประมาณสี่สิบหกระหว่างดูการ์ตูนเพื่อคลายเครียดจากสภาวะที่กำลังกดดันเพราะเพิ่งเริ่มงานใหม่ในอุตสาหกรรมที่ยังไม่คุ้นเคย เข้าไปก็โดนรับน้องอยู่หลายแขนง ในใจก็พอรู้จากประสบการณ์ว่าเดี๋ยวพอเราทำอะไรได้ มีผลงาน ค่อยๆทำความรู้จักคุ้นเคยก็จะดีขึ้น แต่ก็ไม่วายกังวลปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้จนช่วงนั้นมีความดันขึ้นเบาๆ
การ์ตูนเรื่องที่ว่าก็เปิดดูตอนแรกโดยบังเอิญแล้วสนุกมาก เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับซุปเปอร์ฮีโร่หัวโล้นที่มีพลังระดับบ้าบอแต่ตัวเองก็ต๊องๆด้วยชื่อว่า one punch man ผมดูเพลินๆไปจนถึงตอนหนึ่งที่ไซตามะ พระเอกในเรื่องมีเรื่องกังวลแล้วขึ้นไปนั่งบนหลังคา ก่อนจะรำพึงประโยคระดับต้องสักนี้ไว้ว่า เออ ปัญหาวันพรุ่งนี้เนี่ย รอให้ตัวฉันวันพรุ่งนี้จัดการละกัน… แล้วเขาก็หายเครียดแล้วไปลัลล้าต่ออย่างมีความสุข
1
ผมนั่งคิดตามแป๊บนึงแล้วก็คิดได้ว่า เออก็จริงของไซตามะ ตัวเราวันนี้กะพรุ่งนี้คนละตัวกัน ปัญหาที่จะต้องไปเจอคนที่จ้องเล่นงานเรา ต้องไปผจญภัยในการเมืองของการทำงานนั้นมันวันพรุ่งนี้ ก็ให้ตัวเราพรุ่งนี้ไปลุยละกัน ตัวเราวันนี้ก็ช่างแม่มไปก่อนจะดีกว่า พอคิดได้ก็ผ่อนคลายในทันที พอมีเรื่องอะไรที่วันนี้แก้ไม่ได้ ต้องรอพรุ่งนี้หรือเดือนหน้า ผมก็จะมักคิดถึงไซตามะเสมอ
2
ในตอนนั้นผมใช้ประโยคนี้บ่อยมากจนตั้งเป็นโปรไฟล์หน้าไซตามะในไลน์ไปเลยเพื่อไว้เตือนตัวเอง ซึ่งก็อยู่ในระดับการสักคือ สักมันไว้ในมือถือเลย จะได้เตือนได้บ่อยๆ เพราะเวลาทำงานก็ต้องดูไลน์ตลอด
ประโยคที่สี่ : โอคาเกะ ซามาเดะ
ประโยคนี้เกิดขึ้นก่อนผมจะรวมบทความจากเพจพิมพ์หนังสือเล่มแรกชื่อ ล้ม ลุก เรียน รู้ ในตอนนั้นเป็นช่วงที่ทำหลักสูตร abc กับพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์มาจนอยู่ตัว เริ่มรู้สึกเสพติดคำขอบคุณเพราะหลายคนมาเรียนแล้วชอบ ได้เพื่อนหรือกระตุกความคิดระดับเปลี่ยนชีวิตแล้วมาขอบคุณผมกับพี่ตุ้มอยู่เนืองๆ ก็เลยนึกเคลึ้มๆว่าเรานี่ก็มีประโยชน์ไม่เบา ได้ช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ ซึ่งในทางหนึ่งก็ดีแต่ก็สร้างอีโก้ตัวใหม่ขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวเช่นกัน
มีคลาสหนึ่งของเอบีซีรุ่นสุดท้าย เราเชิญอาจารย์เกตุ กฤตตินีหรือหลายคนรู้จักในนามเกตวดี มารุมูระมาบรรยาย อาจารยเกตุเล่าถึงคำขอบคุณในความหมายลึกซึ้งหลายๆแบบของญี่ปุ่น
มีประโยคหนึ่งที่อาจารย์เกตุเล่าแล้วจำไม่ลืมก็คือ โอคาเกะ ซามาเดะ
อาจารย์เกตุอธิบายและแปลในภาษาไทยว่า ขอบคุณร่มเงาของท่านที่ทำให้ฉันมีวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่อาจารย์เกตุเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งว่าตอนที่ย้ายมาอยู่อพาร์ตเมนท์ในญี่ปุ่นใหม่ๆ อาจารย์เกตุเดินสวนกับคุณยายที่อยู่ติดกันโดยบังเอิญ คุณยายเจอหน้าแล้วโค้งให้อาจารย์เกตุอย่างสุภาพจริงใจแล้วพูดว่า โอคาเกะ ซามะเดะ
ซึ่งอาจารย์เกตุก็งงว่าคุณยายทำไมถึงขอบคุณใหญ่โตแบบนั้น เลยไปถามครูสอนภาษา คุณครูเลยเล่าว่าคุณยายรู้สึกขอบคุณจริงๆที่อาจารย์เกตุมาอยู่ที่ห้องนั้นแทนที่จะเป็นนักเลงอันธพาลหรือวัยรุ่นเสียงดัง ทำให้คุณยายได้มีชีวิตที่สงบตามที่คุณยายชอบ จึงอาจารย์เกตุถึงเริ่มเข้าใจความหมายของการ “รู้สึกขอบคุณ” ของคนญี่ปุ่นมากขึ้น
จากที่อาจารย์เกตุสอน แล้วลองมองมุมเรื่องความรู้สึกขอบคุณซึ่งปกติก็คงมีบ้างแต่ไม่ได้พยายามสังเกตอย่างชัดเจนนัก เลยรู้สึกว่าถ้าเรามีความรู้สึกขอบคุณกับคนรอบข้าง ธรรมชาติ หรือเรื่องราวใกล้ตัวอยู่เป็นประจำนั้น ที่เราจะได้จากความรู้สึกแบบนั้นแน่ๆ คือความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรู้สึกตัวตนที่เล็กลง ซึ่งอาจารย์เกตุบอกว่าเป็นต้นทางของอิคิไก หรือชีวิตที่มีความหมาย เพราะเมื่อเราอ่อนน้อมถ่อมตน เราก็จะสร้างความสุขให้คนอื่นได้ง่าย เป็นความสุขเล็กๆที่เราสะสมคุณค่าจนมี purpose ที่ทำเพื่อผู้อื่นได้
1
หลังจากฟังอาจารย์เกตุและมองไปที่เหล่านักเรียนเอบีซีรุ่นสุดท้ายไปพร้อมกัน ผมก็คิดถึงเรื่อง “ขอบคุณ” นี้ขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนั้นผมเพิ่งพานักเรียนหลักสูตร abc ไปทำกิจกรรมแรลลี่ที่โคราช โดยปกติเราก็ทำกันเต็มที่และมีความสุขเมื่อนักเรียนขอบคุณทีมงานว่าจัดได้ดี
แต่พอฟังเรื่องนี้ มุมมองผมก็เปลี่ยนไป ผมเริ่มคิดขอบคุณนักเรียนที่เสียสละเวลาวันหยุดมากับเราโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเจออะไร เริ่มขอบคุณที่เขาไว้ใจ บอกให้ทำอะไรก็ทำ เสียสละเวลานอน ยอมทำตามกฎที่อาจจะไม่เห็นด้วย ฯลฯ ความรู้สึกแบบนี้ยิ่งทำให้อยากทำหลักสูตรสุดท้ายนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้ตัวเราเล็กลงมาก ตอนเปิดตัวหนังสือก็เลยถือโอกาสขอบคุณแขกที่มาในงานด้วยคำนี้เช่นกัน
โอคาเกะ ซามาเดะทำให้ผมมองเรื่องราวและผู้คนรอบตัวเปลี่ยนไปมาก ถ้าจะต้องสัก ก็อยากจะสักที่หลังมือขวา เพราะเวลายกมือไหว้ผู้คน ขอบคุณคนโน้นคนนี้ก็จะได้ไม่สักแต่ไหว้ จะได้เตือนใจทุกครั้งเวลาได้เห็นประโยคนี้ว่าเราต่างเป็นร่มเงาของกันและกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่งเสมอ
ประโยคที่ห้า หนึ่งครั้ง หนึ่งพบพาน【一期一会】
ประโยคนี้แหละครับที่น้องคนที่มาคุยกับผมสักไว้ที่แขนด้านในข้างขวา เขาประทับใจกับปรัชญานี้มาก ผมก็เพิ่งได้ยินประโยคนี้จากอาจารย์เกตุคนเดิมเมื่อเดือนที่แล้ว และก็ทำให้งานที่ดูจะธรรมดา ทำไปตามหน้าที่กลายเป็นงานและวาระที่สำคัญ แตกต่างและรู้สึกอิ่มเอมมากขึ้นกว่าเดิมมากหลังจากขีดเส้นใต้ประโยคนี้
ประโยคนี้มาจากปรัชญาของพิธีชงชาอันศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นนั้นก็คือว่า เหตุการณ์และการพบหน้าของผู้ชงและแขกผู้มาเยือนในบรรยากาศตอนนั้นมีค่ามากๆทุกวินาทีเพราะเกิดขึ้นครั้งเดียว จะไม่เกิดขึ้นซ้ำแบบนั้นอีก จึงจะชงชาอย่างตั้งใจที่สุดและให้เกียรติคนที่อยู่ตรงหน้า ดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้าให้มากที่สุด เพราะต่อให้มาเจอกันอีกในโอกาสถัดไปก็ไม่เหมือนเดิม ทั้งสภาพแวดล้อมและต่างคนก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
อาจารย์เกตุเล่าว่า วิถีความคิดนี้มาจากซามูไรที่มีเรื่องต้องรบพุ่งอยู่เป็นประจำ การที่ได้จิบชากับสหายแต่ละครั้งอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ โมเม้นท์ ณ ตรงนั้นจึงเป็นโมเม้นท์ที่สำคัญที่สุด ต่อให้รอดชีวิตกลับมาจากสงคราม ประสบการณ์ บาดแผล อายุก็ทำให้เราเปลี่ยนไป โมเม้นท์นั้นจึงมีแค่โมเม้นท์เดียวเสมอ
วิธีคิดเรื่องหนึ่งครั้ง หนึ่งพบพาน จึงทำให้เราตระหนักถึงบุคคลที่อยู่ตรงหน้า เป็นการดึงสติให้เข้าสู่ปัจจุบันขณะ ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่จะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว และอยากจะทำหรืออยากจะดื่มด่ำกับความรู้สึกให้มากที่สุดโดยไม่ได้คิดถึงอดีตหรืออนาคตใดๆ
ปกติเราอาจจะคิดถึงเหตุการณ์ใหญ่ๆที่เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วผ่านแล้วผ่านเลยอย่างเช่นการพาลูกไปดิสนีย์แลนด์ตอนเด็ก พอโตแล้วก็จะไม่มีทริปแบบนั้นอีก หรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไปเรียนต่อต่างประเทศ การเป็นจูเนียร์ในบริษัท การแต่งงาน ฯลฯ แต่หนึ่งครั้ง หนึ่งพบพานที่อาจารยเกตุเล่านั้นทำให้คิดถึงเหตุการณ์เล็กๆที่บางทีเราคิดว่าเดี๋ยวมันก็มาอีก แต่ต่อให้มีอีกก็จะไม่เหมือนเดิมเหมือนวันนี้
ถ้าผมจะสักประโยคนี้และต่อไปเทคโนโลยีทำได้ ก็อยากจะสักไว้ในตาเลยด้วยซ้ำเพราะจะได้เตือนตัวเองกับเหตุการณ์ กับประสบการณ์ และกับผู้คนที่อยู่ตรงหน้าว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดแค่ครั้งเดียว จะทำให้เราสามารถดึงตัวเองให้ดื่มด่ำและอิ่มเอมกับสิ่งที่เรียกว่า “ปัจจุบันขณะ” ได้ดีและมีความสุขมากขึ้นแน่ๆ
ส่วนประโยคล่าสุดที่ผมเพิ่งได้ยินเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และถึงกับขีดเส้นใต้ไว้ก่อนแต่ยังไม่ได้เข้าใจมันลึกซึ้ง คงจะยังต้องคิด พินิจ พิเคราะห์กันอีกหลายคราว แต่เป็นประโยคที่ถ้าเข้าใจมัน ก็น่าจะเหมาะสมกับวัยผมในตอนนี้และน่าจะนำมาซึ่งความสงบในใจไปอีกหลายสิบปี เป็นประโยคที่ผมได้ยินจากป้าศรี คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ในวัย 85 ปีที่สนใจ ศึกษาและเข้าใจเรื่องความตายเป็นอย่างดี และทำโครงการต่างๆมากมายเพื่อให้ผู้คนอยู่ดีและตายดีตามใจปรารถนา
ป้าศรีเล่าถึงประสบการณ์ วิธีคิด และความเข้าใจเรื่องความตายจากผู้ที่เคยประสบทุกข์อย่างแสนสาหัสและผ่านพ้นมาได้อย่างเข้าใจ มีผู้ถามป้าศรีว่า แล้วความตายคืออะไรกันแน่ ป้าศรีก็ครุ่นคิดและชวนคิดถึงประโยคนี้ ซึ่งเป็นประโยคที่ผมติดอยู่ในหัวตั้งแต่วันนั้น และก็อยากจะสักบนหน้าผากเลยด้วยซ้ำ ตื่นเช้ามาจะได้ส่องกระจก เตือนใจตัวเองและคิดต่อในทุกวัน
ความตายคืออะไรน่ะเหรือ
ความตายก็แค่อยู่ระหว่างการหายใจ…กับการไม่หายใจ
มันเป็นช่วงตรงกลางระหว่างสองเหตุการณ์นั้น ก็เท่านั้นเอง มิใช่หรือ…
ป้าศรีตั้งคำถามให้ชวนคิดไว้แบบนั้นครับ..
11 บันทึก
23
6
11
23
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย