23 พ.ย. 2024 เวลา 08:55 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

#คนกับภาษา

สองสามวันก่อนเป็นวันที่ผมใช้งานแอพเรียนภาษาตัวหนึ่งติดต่อกัน 365 วันหรือพูดง่ายๆ คือ ครบปี—นั่นแหละครับ อันที่จริงผมใช้แอพตัวนี้มาก่อนหน้านั้นหลายเดือน แต่ไม่ได้ใช้ทุกวัน บางวันใช้ บางวันไม่ใช้ จนเมื่อปีก่อนเลยตัดสินใจทดลองใช้ทุกวัน
เชื่อว่า หลายคนน่าจะรู้จักแอพเรียนภาษาตัวนี้แล้ว แต่ก็เชื่ออีกว่าอีกหลายคนไม่รู้จัก ​คุณใช้แอพนี้เรียนภาษาอะไรก็ได้ที่จัดเป็นภาษาราชการของแต่ละประเทศ เจ้าของแอพเปิดโอกาสให้คุณลองใช้ฟรี แต่ต้องนั่งดูโฆษณาเป็นระยะๆ หรือถ้ารำคาญโฆษณาก็สับตะไคร้จ่ายรายเดือนหรือรายปีก็ได้ เอาที่สบายใจ แต่โพสต์นี้ ไม่ได้ตั้งใจมารีวิวแอพนี้นะครับ แต่มารีวิวว่า ผมคิดยังไงและใช้มันยังไง
ผมใช้แอพนี้เป็นเกมส์ คือแทนที่จะดาวน์โหลดเกมส์มาเล่น ก็ใช้แอพนี้เล่นแทนเกมส์เสียเลย ไมอ่ะ ถึงทำอย่างนี้? เรื่องนี้คงต้องย้อนไปหลายสิบปีก่อนโน้น
ผมเริ่มต้นชีวิตดิจิทัลเมื่อราวๆ ปี 2535 ก็สามสิบสองปีก่อนนู้นนั่นแหละ สมัยโน้น ผมเป็นแค่เด็กติดเกมส์ ไม่ได้สนใจคอมพิวเตอร์เพราะอยากเรียนรู้หรืออยากใช้คอมพิวเตอร์ทำงานอะไรหรอกครับ แค่สนุกกับเกมส์เท่านั้น เกมส์ในสมัยโน้นที่มีให้เล่นก็เป็นเกมส์พวก เกมบอย ปิงปอง ฯลฯ ที่เป็นเกมส์ง่ายๆ แบบสองมิติ ไม่น่าตื่นตาตื่นใจอะไรนัก จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนสนิทของผมซื้อคอมพิวเตอร์มาตัวนึง เป็นเครื่องพีซีโคลนที่ใช้ซีพียู Intel 80386DX ซึ่งทันสมัยที่สุดในตอนนั้น แต่เด็กสมัยนี้คงคิดว่าพวกลุงๆ ใช้มันได้ไง
เพื่อนผมมันก็ตั้งใจจะศึกษาเรียนรู้ที่จะใช้คอมพิวเตอร์ทำงานนั่นแหละ แต่บรรดาเพื่อนพ้องยึดเอามาเล่นเกมส์จนติดกันเป็นแถวๆ ผมก็เอากะเขาด้วย เกมที่เราติดกันมากในตอนนั้น เป็นเกม Flight Simulation ชื่อ Su-25 Stormovic ที่จำลองเครื่องบินรบ Su-25 Stormovic ของรัสเซีย ตัวกราฟฟิคก็หาความรายละเอียดไม่ได้เลยแหละ
เด็กสมัยนี้เห็นเข้าคงขำกลิ้งว่า พวกลุงติดมันได้ยังไง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคิดดูว่า CPU ที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้นสู้สมาร์ทโฟนราคาถูกๆ ของสมัยนี้ยังไม่ได้เลย แถมเครื่องที่สเปคแรงที่สุดก็มี Ram แค่ 4-8 MB ย้ำนะครับ 4-8 เมกะไบท์ เทียบกับสมัยนี้ที่เริ่มต้นกันที่ 8 GB หรือ 8 กิกะไบท์ ต่างกันนับพันเท่าเลย
ที่ติดเกมนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะหนังเรื่องคือ Top Gun ที่ส่งให้ทอม ครูส กลายเป็นซุปตาร์ในชั่วข้ามคืน และส่งให้กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเนื้อหอมจนเด็กหนุ่มอเมริกันจำนวนมากหันมาสมัครเป็นนักบินในกองทัพเรือเพิ่มขึ้น
อีกส่วนหนึ่งมาจากความสนุกของเกมที่จำลองประสิทธิภาพเชิงเปรียบเทียบกับเครื่องบินรบอื่นๆ ที่มีอยู่ในเวลานั้นแล้วถูกจับมาใส่ไว้ในเกมอย่าง F-117 ที่เรดาร์กวาดหาไม่เจอ หรือ Mig-29 และ F-16 ที่เร็วกว่าแบบไล่ยังไงก็ตามไม่ทัน และ AH-64 Apache เครื่องปีกหมุน (helicopter) ที่พลิกแพลงแตกต่างจากเครื่องปีกตรึง (fixed wing)
ทั้งหมดนี้เมื่ออยู่บนหน้ากระดาษ ล้วนมีความสามารถเหนือกว่า Su-25 ทั้งสิ้น คุณจะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าตั้งแต่ยังไม่เข้าสนามรบเลยได้ยังไง นั่นเป็นโจทย์ที่ท้าทายและกลายเป็นอะไรที่พวกเราติดกันงอมแงม
อีกอย่างหนึ่ง เกมส์สมัยนั้นไม่มีโหมด God มาให้เล่น มิหนำซ้ำ คนเล่นต้องเริ่มตั้งแต่หัดเอาเครื่องบินขึ้นและลงให้ได้ เแค่หัดเอาเครื่องบินขึ้นลงให้ได้ เด็กยุคอะนาล็อกอย่างพวกลุงๆ ก็ยังต้องใช้เวลาหัดกันร่วมๆ อาทิตย์เลยทีเดียว
นั่นคือจุดเริ่มต้นให้ผมติดเกมส์ แม้เวลาผ่านไป จะเดิบโตขึ้น ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานมีมากขึ้นจนไม่มีเวลาเล่นเกมส์ อารมณ์เด็กติดเกมส์มันไม่ได้หายไปไหน แต่ก็รู้ตัวว่า จะกลับไปเล่นเกมส์แบบเด็กๆ คงเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุผลนานัปการทั้งหลายทั้งปวง
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกแอพเรียนภาษามาใช้เล่นแทนเกมส์ ก็จากความหมกมุ่นกับการเรียนภาษา
เมื่อเริ่มหัดพูด ผมเรียนรู้ "กำเมือง" เป็นภาษาแรกเพราะมีแม่ "เป๋นคน้เมือ๊ง" เรื่องแสบๆ คันๆ ในชีวิตผมอย่างหนึ่งคือการมีเตี่ยเป็นคนแต้จิ๋วแต่เตี่ยไม่เคยสอนลูกคนไหนให้พูดภาษาแต้จิ๋วเลย ผมต้องไปเรียนแบบครูพักลักจำจากเพื่อนหรือคนอื่นๆ แต่พอโตมาก็เริ่มอยากเรียนภาษาจีนกลางเพราะสนใจประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีน
หลังจากที่ผมเริ่มหัดพูดได้ไม่นานนัก โทรทัศน์ก็แพร่หลายในเมืองไทย ผมจึงเริ่มคุ้นเคยกับภาษาราชการไทยหรือภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง ก่อนที่จะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สามเมื่อเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่ง ความหมกมุ่นสนใจในการเรียนภาษาของผมเกิดขึ้นเมื่อผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษนี่แหละ
ในสายตาของเด็กอย่างผม ภาษาอังกฤษมีความแปลกประหลาดอยู่ในตัว ตัวอักษรก็ไม่เหมือนภาษาไทย ไม่มีสระแบบภาษาไทย ออกเสียงก็ไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ได้เรียนก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริง เรียนมาร่วมยี่สิบกว่าปีก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง ผมมาตระหนักถึงความอ่อนภาษาอังกฤษของผมเรื่องนี้ก็ตอนที่ไปเรียนโทต่อที่อังกฤษนี่แหละ
วันแรกที่ลงจากเครื่องบริติชแอร์เวย์ที่สนามบินฮีธโรว์ ทางบริติชเคาน์ซิลส่งเจ้าหน้าที่มารอรับที่สนามบิน ให้เงินค่าใช้จ่ายก้อนแรกแล้วพาไปขึ้นรถโค้ช (บ้านเราคงต้องเรียกรถทัวร์) ส่งไปเบอร์มิงแฮม พอขึ้นรถโค้ช ผมก็ได้เรียนรู้ความจริงที่ว่า เรียนภาษาอังกฤษมายี่สิบกว่าปีก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อ conductor ประจำรถมาเก็บค่าโดยสาร พ่อหนุ่มพูดด้วยสำเนียงค็อกนีย์ของชนชั้นแรงงานในลอนดอนซึ่งเป็นหนึ่งในห้าสำเนียงที่ฟังได้ยากที่สุดในบริเตน
(ถ้าเป็นบ้านเราก็เรียกเด็กท้ายรถ แต่ที่บริเตนเรียก คอนดักเตอร์ เพราะทำงานจิปาถะ เก็บค่าโดยสาร เก็บกระเป๋าผู้โดยสารลงใต้ท้องรถ ฯลฯ ทุกอย่างยกเว้นขับรถ อย่างที่เราเห็นใน Harry Potter: The Prisoner of Azkaban นั่นแหละ)
แต่เมื่อไปถึงเบอร์มิงแฮมก็ออกอาการอ๊องไม่ต่างกับตอนอยู่บนรถ เพราะสำเนียงชาวเมืองเบอร์มิงแฮมที่เรียกกันว่า บรัมมี/แบล็คคันทรี Brummie/Black Country ก็เป็นหนึ่งในห้าสำเนียงที่ว่าฟังยากที่สุดในบริเตนเหมือนกัน
บรัมมีกับแบล็คคันทรีจะคล้ายๆ กันเพราะพื้นที่ใกล้ๆ กันแต่คนสองท้องถิ่นจะบอกว่าไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนยังไงผมก็บอกไม่ถูก ถ้าสนใจอยากลองดูว่าฟังสำเนียงนี้รู้เรื่องหรือเปล่า ก็ลองดูทีวีซีรีส์เรื่อง Peaky Blinder ที่ได้ Cillian Murphy มารับบทนำ ดูได้บน Netflix ครับ (ไม่ได้ค่าโฆษณาน้า) หรือลองดูคลิปนี้ครับ
อีกสามสำเนียงก็มี Scouser ของเมืองลิเวอร์พูล Geordie ของเมืองนิวคาสเซิ่ลอัพพอนไทน์ (Newcastle upon Tyne นิวคาสเซิ่ลในอังกฤษมีสองเมืองครับ อีกเมืองคือ Newcastle under Lyme ที่อยู่ห่างจากลิเวอร์พูลลงมาทางใต้ราว 56 ไมล์ คนเมืองนี้ไม่ได้พูดสำเนียงจอร์ดี้) และอีกสำเนียงคือ Glaswegian ของเมืองกลาสโกว์ในสก็อตแลนด์
จากภาษาอังกฤษ ผมเลยเริ่มสนใจภาษาอื่นๆ พอได้ดูบอลเยอรมันก็เริ่มสนใจภาษาเยอรมัน ระหว่างที่เรียน ป.ตรี ผมลงทะเบียนเรียนภาษาจีนกลางกับเยอรมันเป็นภาษาที่สี่และห้า ผมว่าผมก็เรียนสองภาษานี้ได้ดีนะ ได้ A ภาษาจีน เยอรมันได้ C (เพราะขาดเรียนบ่อยถึงจะทำข้อสอบได้ดีก็เถอะ อาจารย์เยอรมันคงไม่แฮ็ปปี้น่ะ)
ช่วงเรียนโทที่อังกฤษ ผมก็พยายามเรียนภาษาสเปนจากเพื่อนร่วมชายคาจากกัวดาลาฮาล่า เม็กซิโก ภาษาฝรั่งเศสจากเพื่อนร่วมชายคาชาวปาริเซียง ภาษาญี่ปุ่นจากเพื่อนร่วมชายคาจากคุมาโมะโตะ และภาษากรีกจากเพื่อนสาวเฮเลนิก (ชาวกรีซนิยมเรียกตนเองว่า Helenic ที่มาจาก Helen of Troy มากกว่าที่จะเรียกว่า กรีก) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนักหรอก เพราะเรียนปรกติก็หนักอยู่แล้ว นี่ถ้าสมัยนั้นมีอินเทอร์เน็ตกับแอพเรียนภาษาอย่างสมัยนี้ ผมคงพูดได้สักสิบภาษาแล้ว
ช่วงที่ผ่านมา ผมเลยคิดว่า จะพยายามเรียนสแปนิช เฟรนช์กับแจแปนิส ดูสะหน่อย เผื่อจะพูดกับเพื่อนได้
แต่เหตุผลใหญ่ที่ผมหันกลับมาหมกมุ่นกับการเรียนภาษาอีกครั้งมาจากข่าวเกี่ยวกับประโยชน์ของการพูดได้หลายภาษา
เมื่อปีสองปีก่อนก็มีข่าวหนึ่งโผล่ขึ้นมาบนหน้าฟีดแอพโซเชียลเน็ตเวิร์ค อาทิ
Did you know speaking more than one language can help you age better? A new book released this week explores the research around multilingualism.
How does speaking multiple languages affect the mind?
The cognitive benefits of being multilingual
Multilingualism has widely recognized social and career benefits. But did you know you can also reap the huge cognitive benefits of being multilingual?
สองข่าวข้างต้นเป็นตัวอย่างข่าวที่สำนักข่าวจำนวนมากนำเสนอ
ข่าวนี้นำเสนอคำถามสำคัญที่ว่า ทราบหรือไม่—ว่าการพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาจะช่วยให้เรา​เข้าสู่ช่วงสูงวัยได้ดีขึ้น? หรืออีกแง่หนึ่ง การพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษามีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์อย่างไร?
ยังมีต่อ
To be continued
Continuará
À suivre
つづく

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา