25 พ.ย. 2024 เวลา 07:01 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

#คนกับภาษา 2

ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ผมพยายามเรียนสแปนิช เฟรนช์กับแจแปนิส ดูสะหน่อยเผื่อจะพูดกับเพื่อนได้ ผมดาวน์โหลดแอพเรียนภาษามาลองเล่นดู แต่เหตุผลใหญ่ที่ผมหันกลับมาหมกมุ่นกับการเรียนภาษาอีกครั้งมาจากข่าวเกี่ยวกับประโยชน์ของการพูดได้หลายภาษาเมื่อปีก่อนที่โผล่ขึ้นมาบนหน้าฟีดแอพโซเชียลเน็ตเวิร์ค
ที่มาของข่าว เกิดจากการวางจำหน่ายหนังสือชื่อ The Power of Language ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2023
เนื้อหาในข่าวกล่าวว่า ฟังก์ชั่นการทำงานของสมองคนที่พูดได้หลายภาษา (คนพหุภาษา) รวมไปถึงภาษาถิ่น (dialect/native language) แตกต่างจากสมอง "ปรกติ" ของคนที่พูดได้เพียงภาษาเดียว (คนภาษาเดี่ยว) เมื่อพิจารณาถึงประเด็นต่างๆ อย่าง ความทรงจำ การตัดสินใจ ความคิดสร้างสรรค์ การเข้าสู่วัยชรา ตลอดจนการใช้ภาษา พุทธิปัญญา (cognition การเรียนรู้รับรู้) และระบบประสาท
ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ในโลก พูดได้อย่างน้อยสองภาษา อย่างเช่น สองในสามของประชากรในยุโรปพูดได้สองภาษาหรือมากกว่า การศึกษาความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ด้วยมุมมองแบบหนึ่งภาษาหนึ่งจิตใจ จึงส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำงานของจิตของมนุษย์
ไวโอริกา มาเรียน (Viorica Marian) นักจิตวิทยาภาษาศาสตร์ (psycholinguist) ชาวอเมริกันเชื้อสายมอลโดวาผู้พูดได้หลายภาษาทั้งโรมาเนียน รัสเซียนและอังกฤษ เป็นเจ้าของผลงานหนังสือ The Power of Language เธอสรุปความแตกต่าง 5 ประการที่คนพหุภาษา (พูดได้หลายภาษา) กับจากคนภาษาเดี่ยว (พูดได้ภาษาเดียว) ว่า
1. คนพหุภาษา จะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันในเวลาที่พูดแต่ละภาษา
2. สมองพหุภาษาจะประมวลผลภาษาทุกภาษาที่พูดได้ในทุกที่ทุกเวลา
3. คนพหุภาษามีความคิดสร้างสรรค์และวิธีคิดที่หลากหลายมากกว่าคนภาษาเดี่ยว
4. ความจำถูกจัดเก็บและเรียกคืนมาในรูปแบบที่แตกต่างกันในสมองของคนทวิภาษา/พหุภาษา และภาษาเดี่ยว
5. การเรียนรู้ภาษาที่สอง (หรือที่สาม หรือที่สี่) จะช่วยให้สมองแก่ตัวลงไปได้อย่างเหมาะสม หรือประสบกับสภาวะถดถอยทางจิตในวัยชราในระดับต่ำ
1. คนพหุภาษา จะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันในเวลาที่พูดแต่ละภาษา
นักวิจัยพบว่า คนพหุภาษามักจะบอกว่า ตนรู้สึกราวกับเป็นคนละคนในเวลาที่พูดแต่ละภาษา คนพหุภาษาจะแสดงบุคลิกภาพ 5 ประการแตกต่างกันระหว่างที่ใช้ภาษาดั้งเดิมหรือภาษาแม่ (native language/mother tongue) กับภาษาที่สอง (หรือที่สาม หรือที่สี่) โดยในช่วงเวลานั้น บุคลิกภาพใดจะปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด จะขึ้นกับว่ากำลังพูดภาษาอะไร
[บุคลิกภาพทั้ง 5 ประการดังกล่าวได้แก่ ความเปิดเผยตรงไปตรงมา (Openness) ความมีมโนธรรมสำนึก (Conscientiousness) ความสนใจต่อโลกภายนอก (Extraversion) ความพร้อมที่จะประนีประนอม (Agreeableness) และ ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ (Neuroticism)]
คนพหุภาษามีแนวโน้มที่จะเข้าใจความเป็นไปในโลกที่แวดล้อมตนรวมทั้งจับสังเกตและแยกแยะข้อมูลข่าวสารที่ชักจูงให้หลงผิดได้ดี นั่นอาจเป็นเพราะว่า การเรียนภาษาที่สอง (ที่สาม ที่สี่ ฯลฯ) เป็นกระบวนการปรับปรุงยกระดับทักษะในการปิดกั้นจำกัด (inhibition skills) อันเป็นทักษะที่เอื้อให้มนุษย์เพ่งความสนใจอยู่แต่เฉพาะกับข่าวสารข้อสนเทศสำคัญๆ และตัดส่วนที่เหลือออกไปทั้งหมดได้
ด้วยเหตุดังกล่าว คนพหุภาษาจะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการจับสังเกตโลกที่แวดล้อมตน โดยใช้ทั้งทักษะในการระบุอัตลักษณ์และทักษะในการวิเคราะห์บริบทซ่อนเร้นของสถานการณ์ตลอดจนถอดความหมายของสภาวะแวดล้อมทางสังคมได้อย่างถูกต้อง สิ่งนี้บ่มเพาะให้สมองพหุภาษามีพุทธิปัญญา (cognitive skills ความสามารถในการเรียนรู้รับรู้) ในระดับที่สูงมาก พุทธิปัญญาเช่นว่า เป็นทักษะที่ฝึกฝนได้โดยการมีปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับสังคมและวัฒนธรรมของภาษาที่สองที่ตนไม่คุ้นเคยมาก่อน
2. สมองพหุภาษาจะประมวลผลภาษาทุกภาษาที่พูดได้ในทุกที่ทุกเวลา
นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อกันว่า ภาษาแต่ละภาษาถูกบรรจุไว้ในสมองคนละส่วนแตกต่างกันไปในแต่ละภาษา โดยที่แต่ละส่วนจะถูกเปิดสวิทช์ใช้งานเมื่อใช้ภาษานั้นๆ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์จนได้ว่าทฤษฎีนี้ ผิดไปหมด ในความเป็นจริง สมองพหุภาษาจะประมวลทุกภาษาแบบคู่ขนานกันตลอดเวลาเพื่อที่จะรักษาความสามารถในการพูดได้หลายภาษาให้คงอยู่ร่วมกันได้แม้ในเวลาที่ไม่ได้ใช้ภาษาเหล่านั้นก็ตาม
การประมวลผลภาษาในสมองของมนุษย์ ไม่ได้เกิดขึ้นที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเพียงตำแหน่งเดียว แต่เป็นระบบเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกส่วนในสมอง ด้วยเหตุนี้ สมองจึงมีเส้นทางที่เชื่อมโยงคำต่างๆ แนวคิดและความจำแบบข้ามภาษาด้วย ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว คนที่พูดภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษได้สองภาษา จะเห็นความเหมือนระหว่างคำที่ไม่สัมพันธ์กันได้ดีกว่าคนที่พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น nail (ตะปู) และ cloud (เมฆ) เพราะคำว่า nail ในภาษาฝรั่งเศสคือ clou
เมื่อครั้งที่ไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สหราชอาณาจักรเมื่อกว่าสามสิบปีที่แล้ว ผมได้เพื่อนใหม่เป็นชาวต่างชาติหลายคนหลายภาษา มีทั้งญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เม็กซิกัน กรีซ วันหนึ่งในช่วงเวลานั้น พวกเราชวนกันออกไปทานอาหารเย็นนอกบ้านด้วยกันทั้งหมดเป็นครั้งแรก ซึ่งก็แน่นอนว่ามีเครื่องดองของมึนเมาเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย
จังหวะหนึ่งระหว่างที่ทานอาหารกันไปพลางสนทนากันไปพลาง พ่อหนุ่มฝรั่งเศสก็ยกแก้วเมรัยขึ้นมากล่าวอวยพรเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Chin Chin อันมีความหมายว่า Cheers ในภาษาอังกฤษ แต่สาวๆ ญี่ปุ่นไม่ยกแก้วขึ้นมาอวยพรด้วย กลับหัวเราะกันคิกคักก่อนที่จะเฉลยว่า คำนี้ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงน้องน้อยที่ติดตัวหนุ่มๆ กันอยู่ทุกคนนั่นแหละ
แม้แต่ระหว่างภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่นก็มีเรื่องทำนองนี้ เมื่อหลายเดือนก่อน ผมเห็นโพสต์บน Youtube เป็นเพลง "รถแห่รถยู้ [ป๊ะโล๊งโป๊งฉึ่ง]" ที่มีชาวเน็ตมาเล่าให้ฟังว่า คนญี่ปุ่นเข้าใจเพลงนี้แตกต่างจากคนไทย ครั้นเมื่อผมเปิดเพลงนี้ให้เพื่อนชาวญี่ปุ่นฟัง ก็ขำกลิ้งไปเลยทีเดียว
ด้วยเหตุที่การเรียนรู้ภาษาที่สอง (หรือที่สาม หรือที่สี่) บังคับให้คุณต้องเพ่งความสนใจไปที่รูปแบบการทำงานของทั้งสองภาษา ซึ่งรวมทั้งความแตกต่างระหว่างสองภาษานั้นด้วย สมองพหุภาษาจึงมีแนวโน้มที่จะเข้าใจประเด็นต่างๆ อย่าง ไวยากรณ์ การผันคำ (conjugations) และโครงสร้างของประโยคได้ดีกว่าสมองภาษาเดี่ยว คนพหุภาษาจะจับโครงสร้างของภาษาใดๆ ได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งว่าจะใช้งานอย่างไร
3. สมองพหุภาษามีความคิดสร้างสรรค์และวิธีคิดที่หลากหลายมากกว่าสมองภาษาเดี่ยว
โดยเนื้อแท้แล้ว ความคิดสร้างสรรค์ขึ้นอยู่กับสมองของเราว่า จะเชื่อมโยงของสองสิ่งที่ดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันให้สัมพันธ์กันได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจต่อศิลปะ ดนตรี และแม้แต่การแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์
ด้วยเหตุว่า การรู้ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน จะส่งผลเป็นการร้อยรัดความสามารถในการเชื่อมโยงดังกล่าวข้างต้นไว้อย่างเหนียวแน่นแข็งแรง สมองพหุภาษาจึงมีแนวโน้มที่จะทำได้ดีในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการคิดแบบสร้างสรรค์และการใช้ความคิดแบบหลากหลายแนว
การใช้หลายๆ ภาษาร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ จะเพิ่มประสิทธิภาพของความเชื่อมโยงระหว่างเสียง อัักษรและคำในความรู้สึกนึกคิดของพวกพหุภาษา ซึ่งเป็นผลให้เครือข่ายการเชื่อมโยงดังว่าหนาแน่นมากขึ้น รวมทั้งการเชื่อมต่อแนวคิดและการให้ความหมายก็แข็งแรงมากยิ่งขึ้นด้วย
แม้การเรียนภาษาที่สองที่สาม (หรือที่สี่ ฯลฯ) จะส่งผลให้คนธรรมดาอย่างเราๆ มีความคิดสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับเกิดปาฏิหารย์ขึ้นมา ใช่ว่าความคิดสร้างสรรค์ของเราจะเพิ่มขึ้นจาก 0 เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ได้ แต่ก็ช่วยให้เรามีขึ้นมาจากเดิมที่ไม่มีเลย หรือมีเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่บ้าง โดยเฉพาะคนที่ทำงานเชิงสร้างสรรค์อยู่แล้ว ก็อาจมีเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษอย่างที่ต้องการ
การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ยังจะยกระดับความยืดหยุ่นด้านพุทธิปัญญา (cognition การเรียนรู้รับรู้) ให้สูงขึ้นด้วย การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ จะบังคับให้สมองของเรา ต้องคิดเรื่องเดียวกันในรูปแบบหรือทิศทางที่แตกต่างไปจากเดิม อันเป็นการพัฒนาความยืดหยุ่นด้านพุทธิปัญญาซึ่งนำไปสู่การยกระดับความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และวิธีการมองสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม
สมองพหุภาษายังทำงานครั้งละมากกว่าหนึ่งอย่าง (multitasking) ได้ดี คนพหุภาษามักจะเป็นพวกที่ทำงานได้หลายอย่างหลายประเภทในเวลาเดียวกัน (multitasking) อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนความคิดจิตใจให้เปลี่ยนระบบคิดจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่งได้ในทันที
เมื่อพัฒนาตัวเราเองจนมีสมองพหุภาษาได้แล้ว เราจะเปลี่ยนภาษาที่ใช้ในฉับพลันทันใดได้โดยไม่ต้องเสียเวลายั้งคิด นี่คือเหตุผลว่า ทำไมคนพหุภาษาจึงมีแนวโน้มที่จะควบคุมการกระทำ (execution control) ได้ดีกว่าคนภาษาเดี่ยว เพราะความสามารถในการควบคุมการกระทำเป็นส่วนหนึ่งของสมองที่ควบคุมความสามารถในการสลับสับเปลี่ยนความสนใจจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งรวมทั้งการบริหารความจำด้วย
ทักษะการควบคุมการกระทำอย่างหนึ่งที่สำคัญมากคือ ทักษะในการปิดกั้นจำกัด (inhibition skills) ที่ช่วยให้สมองละทิ้งสิ่งเร้าที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่สำคัญออกไปแล้วเพ่งความสนใจไปเฉพาะที่สิ่งเร้าสำคัญเท่านั้น ทักษะในการปิดกั้นจำกัด เป็นกุญแจสำคัญในการเรียนรู้ข่าวสารข้อสนเทศตลอดจนทักษะใหม่ๆ ได้ดี คนพหุภาษาจึงไม่เพียงแต่จะเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ (ภาษาที่สามหรือที่สี่) ได้เร็วกว่าคนภาษาเดี่ยวทั่วๆ ไปเท่านั้น หากยังพัฒนาทักษะใหม่ๆ ได้เร็วกว่าด้วย เพราะมีความสามารถในการปิดกั้นจำกัดที่ดีกว่านี่เอง
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก (University of Chicago) แสดงให้เห็นว่า คนทวิภาษา (พูดได้สองภาษา ซึ่งอนุมานได้อว่ารวมทั้งคนพหุภาษาด้วย) มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจอย่างสมเหตุสมผลได้ดี ด้วยเหตุที่ภาษาต่างๆ ล้วนแต่มีคำศัพท์ที่มีความหมายโดยนัยอันละเอียดอ่อนทั้งยังแยกแยะความแตกต่างระหว่างคำได้ยาก ภาษาจึงมีอิทธิพลในระดับจิตใต้สำนึกต่อการตัดสินใจของมนุษย์ การคิดได้แต่ในภาษาแม่หรือภาษาพื้นเมืองเพียงภาษาเดียว จึงมีแนวโน้มที่จะครอบงำให้ตัดสินใจด้วยอคติตามอารมณ์ในเวลานั้นได้ง่าย
แม้ว่าคนทวิภาษา/พหุภาษาจะมีแนวโน้มที่จะถูกครอบงำด้วยอคติได้ แต่ก็ถูกถ่วงดุลด้วยความสามารถในการเข้าใจปัญหาจากมุมมองหลายๆ ภาษา ซึ่งเอื้อให้คนกลุ่มนี้ใช้กระบวนการวิเคราะห์ปัญหาด้วยตัวชี้นำทางภาษาที่เหนือกว่าการใช้อารมณ์ ด้วยเหตุนี้ คนพหุภาษาจึงมีมักจะมีทักษะในการคิดเชิงวิพากษ์ที่ดีกว่าคนภาษาเดี่ยว
อีกประการหนึ่ง การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ สมองของมนุษย์ต้องคิดเรื่องที่เดียวกันหรือเรื่องที่คล้ายๆ กันในรูปแบบแนวทางที่แตกต่างกัน และด้วยเหตุนี้ คนพหุภาษาจะบ่มเพาะความยืดหยุ่นด้านพุทธิปัญญาที่ดีกว่า ทักษะนี้จะถูกส่งผ่านต่อไปยังด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหารวมทั้งความสามารถในการมองสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างออกไปจากเดิม คนพหุภาษาจึงแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม
4. ความจำถูกจัดเก็บและเรียกคืนมาในรูปแบบที่แตกต่างกันในสมองของคนทวิภาษา/พหุภาษา และภาษาเดี่ยว
ทฤษฎีว่าด้วยความจำที่พึ่งพาภาษา ระบุว่า เราจะเข้าถึงความจำได้ง่ายกว่า หากจะเรียกคืนความทรงจำในภาษาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากคนทวิภาษาที่พูดได้ทั้งภาษาจีนกลางและภาษาอังกฤษ เล่าเรื่องราวในชีวิตของพวกเขาให้เราฟังเป็นภาษาอังกฤษ คนกลุ่มนี้ก็จะเพ่งความสนใจไปที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาที่พวกเขาใช้ภาษาอังกฤษ แต่หากเล่าเป็นภาษาจีนกลาง ความสนใจของพวกเขาจะเพ่งไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาที่คนกลุ่มนี้ใช้ภาษาจีนกลาง
เครือข่ายเส้นประสาทที่ต่างกันจะถูกกระตุ้นด้วยภาษาที่ต่างกัน และด้วยการกระตุ้นนั้นๆ ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้าสู่ความคิดของมนุษย์ก็จะแตกต่างกัน การยักย้ายความทรงจำตามภาษาที่ใช้ในทำนองนี้ เกิดขึ้นได้เพราะภาษาผูกร้อยวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ความทรงจำและประสบการณ์ส่วนบุคคลเข้าด้วยกัน
เรื่องทำนองนี้ เกิดขึ้นได้ในการศึกษาด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในการทดสอบคนทวิภาษาที่พูดได้ทั้งภาษาสเปนและอังกฤษ หากทดสอบสิ่งที่คนกลุ่มนี้เรียนในภาษาสเปนด้วยแบบทดสอบภาษาอังกฤษ ผลการทดสอบที่ได้จะแย่กว่าที่จะใช้แบบทดสอบภาษาสเปน นั่นหมายความว่า กลุ่มตัวอย่างจะทำผลงานได้ดีกว่า หากภาษาที่ใช้ในการเรียนรู้กับภาษาที่ใช้ในการทดสอบเป็นภาษาเดียวกัน
คนพหุภาษาจะมีความจำที่ดี เพราะต้องใช้สมองทบทวนไวยากรณ์และศัพท์อย่างสม่ำเสมอ อีกประการหนึ่ง การใช้ภาษาที่หยุดใช้มาสักพักหนึ่ง จะจุดประกายดึงความทรงจำที่เราก็อาจจะลืมไปแล้ว ให้กลับมาได้ด้วย
การจำลองภาพสมอง (Brain imaging techniques) ด้วยเครื่อง fMRIs แสดงให้เห็นว่า สมองพหุภาษามีแนวโน้มที่จะใช้งานส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาในสมองแม้ในเวลาที่ไม่ต้องใช้ภาษาใดๆ เลยก็ตาม
ผลการศึกษาดังกล่าว โน้มน้าวให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ความสามารถของสมองในการเชื่อมโยงทักษะต่างๆ เข้าด้วยกัน มีแนวโน้มที่จะยกระดับฟังก์ชั่นด้านพุทธิปัญญา (การเรียนรู้รับรู้) ตามเวลาผ่านไป สมองทวิภาษาหรือพหุภาษาแสดงให้เห็นระดับการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นทางเสียง (โสตวิชญาน) ที่ดีขึ้นโดยรวม ซึ่งคนกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์จากการรับรู้ (อายตนะภายใน) แม้กระทั่งโครงสร้างของเนื้อสมองก็ได้รับอานิสงส์นั้นด้วย
ผลการตรวจสมองพหุภาษาพบว่า ส่วนของเนื้อสีเทา (grey matter) ในสมองมีความหนาแน่นสูงกว่าคนภาษาเดี่ยว และในสมองของคนทวิภาษาหรือพหุภาษาจะมีเนื้อสีขาว (white matter) ที่มีสภาพดีกว่าสมองของคนภาษาเดี่ยวทั่วไป แม้จะอยู่ในวัยชราก็ตาม นั่นดูเหมือนว่า การควบคุมพุทธิปัญญา (cognitive control) ที่ต้องจัดการใช้ภาษาหลายภาษา จะมีผลกว้างขวางต่อฟังก์ชั่นการทำงานและโครงสร้างทางประสาทวิทยา กลไกการควบคุมพุทธิปัญญารวมไปจนถึงการประมวลการรับรู้ (อายตนะภายใน) ของสมองด้วย
5. การเรียนรู้ภาษาที่สอง (หรือที่สาม หรือที่สี่) จะช่วยให้สมองแก่ตัวลงไปได้อย่างเหมาะสม หรือเกิดสภาวะถดถอยทางจิตในวัยชราในระดับต่ำ
สมองพหุภาษาต้องการพลังงานมหาศาล ซึ่งในระยะยาว จะป้องกันการเสื่อมถอยของความสามารถด้านพุทธิปัญญา (การเรียนรู้รับรู้) ได้ในบางรูปแบบ นักวิจัยพบว่า ผู้สูงวัยพหุภาษาจะมีความจำที่ดีกว่าผู้สูงวัยภาษาเดี่ยว ในทำนองเดียวกัน ผลการศึกษาประชากรพบว่า ประเทศที่ประกอบด้วยประชากรพหุภาษาจะมีผู้ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์สเป็นจำนวนที่ต่ำกว่าประเทศที่ประกอบด้วยประชากรภาษาเดี่ยว
การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งพบว่า การรู้มากกว่าหนึ่งภาษา จะช่วยชะลอการเกิดอาการอัลไซเมอร์สและสภาวะสมองเสื่อมชนิดต่างๆ ได้ราว 4-6 ปีโดยเฉลี่ยและที่ดียิ่งไปกว่านั้น แม้ผู้ป่วยพหุภาษาจะแสดงอาการของโรคอัลไซเมอร์สให้เห็นแล้ว แต่ก็มีแนวโน้มที่จะสูญเสียความสามารถด้านพุทธิปัญญา (การเรียนรู้รับรู้) น้อยกว่าผู้ป่วยภาษาเดี่ยว ข่าวดีอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมได้สักภาษาหนึ่งแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้งานภาษานั้นๆ เป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์ทางพุทธิปัญญาแต่อย่างใด
งานวิจัยหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่า ยิ่งผู้สูงวัยบริหารสมองทุกวัน สภาวะถดถอยทางจิตก็ยิ่งน้อยลงโดยรวม และยังพบว่า การเปลี่ยนภาษาใช้งานไปมา เป็นปัจจัยสำคัญในการได้มาซึ่งประโยชน์ด้านนี้
เป็นเรื่องทีดี หากเราจะคิดเรื่องทักษะหรือวิธีการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์แล้ว การเรียนภาษาอีกภาษาเพิ่มเติมจะให้ประโยชน์กลับคืนมามากมายเมื่อเราแก่ตัวลง
ข่าวการวางจำหน่ายหนังสือ The Power of Language และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้น เป็นปัจจัยสำคัญที่โน้มน้าวให้ผมตัดสินใจดาวน์โหลดแอพเรียนภาษามาลองเล่น หลังจากที่ทดลองใช้งานต่อเนื่องยาวนานมากว่าปี ผมก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างว่า ทำไมการเรียนภาษาถึงมีผลต่อทักษะด้านพุทธิปัญญา โดยเฉพาะความเข้าใจในสมมุติฐานวอร์ฟ-ซาปีร์ (Wharf-Sapir Hypothesis) ที่เคยผ่านหูผ่านตามานานกว่ายี่สิบปีแล้ว
ยังมีต่อ
To be continued
Continuará
À suivre
つづく

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา