7 ธ.ค. 2024 เวลา 03:54 • การศึกษา

#คนกับภาษา 3

...
ผมตั้งใจที่จะเริ่มเรียนภาษาสแปนิช เฟร้นช์และแจแปนนิส ด้วยความคิดว่า จะได้พูดคุยหรือส่งเมสเสจด้วยภาษาแม่ของบรรดาเพื่อนต่างภาษากลุ่มนี้ได้ โดยความคิดนี้ก็มาจากความหมกมุ่นในการเรียนภาษาต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เมื่อไวโอริกา มาเรียนออกหนังสือ The Power of Brain ที่เธอเขียนเกี่ยวกับประโยชน์ของการพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา ความคิดของผมก็เริ่มเปลี่ยนไปนิดหน่อย
ผมพบว่า การเรียนภาษาด้วยแอพโดยไม่ได้เรียนไวยกรณ์/แกรมมาร์อะไรเลยน่ะ มันเป็นการเล่นเกมเพียวๆ โดยไม่ได้เรียนอะไรมากเท่าใดนักหรอก ความก้าวหน้าในการเรียนก็จะไม่สูงมากนัก นอกจากเสียจากว่า คุณจะปราดเปรื่องมากขนาดที่แยกแยะและสรุปจากการลองผิดลองถูกอย่างเดียวได้ อย่างภาษาเตอร์กิช ผมเสียเวลาเรียนกับแอพไปนานหลายเดือน แต่ก็ไม่รู้สึกว่าก้าวหน้าเท่าใดนัก-น่าจะปราดเปรื่องไม่พอนิ
แรกๆ ที่เรียนภาษาเตอร์กิช ค่อนข้างป่วนมากจนรู้สึกว่า นี่มันภาษาอะไรกันวะเนี่ย ที่จับได้ก็แค่ว่า ต้องผันคำทั้งประธาน กิริยาและกรรมซึ่งไม่เคยเจอภาษาไหนเป็นอย่างนี้มาก่อนและเริ่มสงสัยว่า แอพนี้ใช้ประโยชน์ได้จริงป่ะ เลยหาแอพอื่นๆ มาลองเทียบเคียงดู แต่ก็ไม่ได้อะไรมากกว่ากันเท่าไร เลยกลับมาคิดใหม่ว่า น่าจะลองหาหนังสือแกรมมาร์มาอ่านดู แค่อ่านหน้าแรกของบทนำยังไม่จบก็เกิดอาการ "อ๋อ..มันอย่างนี้นี่เอง" ขึ้นมาทันทีทันใด
ภาษาเตอร์กิชเป็นภาษาแบบที่เรียกกันว่า agglutinating language ที่เราต้องเพิ่ม suffix ลงท้ายคำไม่ว่าจะประธาน กิริยาหรือกรรม เพื่อสร้างประโยคขึ้นมา อย่างคำ Gidiyorum มีความหมายว่า "ผมกำลังไป I am going" (ฉัน-ดิฉัน-เดี้ยน-เรา-กู-ข้า-หนู ก็อย่างนี้เหมือนกัน)
เรียนหลายภาษาทำให้ผมเริ่มคิดว่า ภาษาไทยเป็นภาษาแปลก-คือ ไม่มีระบบแยกเพศแบบภาษาอื่นๆ เหมือนกับภาษาอังกฤษที่ก็ไม่มี แต่ดันมีคำให้สรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้เรียกตัวเองแยะมากกกกกกก ไม่เหมือนภาษาตะวันตก อย่างภาษาอังกฤษก็มีให้ใช้แค่ I ตัวเดียว
ไม่ว่าคุณจะพูดกับใคร จะพูดกับน้องนุ่งลูกหลาน พี่เพื่อนพ่อแม่ลุงป้าน้าอา ครู หัวหน้างาน เจ้าของกิจการ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปจนถึงผู้นำประเทศ ก็ I อย่างเดียว จนรู้สึกว่า ภาษาไทยเป็นภาษาแห่งการแบ่งชนชั้นหรือยังไงนะ แต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวจะกลายเป็นโพสต์การเมืองไป กลับไปที่ภาษาเตอร์กิชดีกว่า
คำ Gidiyorum คำเดียวมีความหมายว่า "ผมกำลังไป I am going" แต่ก็แทนได้ทั้งประโยคโดยไม่ต้องมีประธานก็ยังได้ คำนี้มาจากการผันคำ Git (ไป go) โดยเพิ่ม suffix สองคำคือ -iyor (-ing) กับ -um (suffix ของสรรพนามบุรุษที่ 1 'I') รวมกันเป็น Git+iyor+um โดยเปลี่ยน t เป็น d = Gidiyorum
อย่างถ้าจะบอกว่า ผมกำลังไปโรงเรียน ก็พูดว่า Okula gidiyorum ได้เลย (Okul = โรงเรียน Okula = to school) หรือ Kitaplarınızdan หมายความว่า ‘from your books’: kitap + lar + iniz + dan (book + s + your + from) รูปแบบนี้แหละที่เรียกว่า agglutinate อันหมายความว่า "แปะติดกัน" และด้วยรูปแบบนี้ เราก็อาจใช้คำแค่สองคำแทนประโยคทั้งประโยคได้เลย อย่างเช่น
Avrupalilaştiramadiklarimizdan misiniz
Are you one of those whom we cannot make European?
ประโยคนี้ซ่อนความรู้สึกของชาวเตอร์กิชซึ่งเกิดจากการที่ทูร์คิเย่ (Türkiye-ตุรกี) ถูกปฏิเสธสถานะประเทศหนึ่งของยุโรป และเป็นประโยคที่ชาวเตอร์กิชต่างรู้จักกันดี โชคดีว่า โอกาสที่จะเจอคำยาวๆ แทนประโยคอย่างนี้มีน้อยมากในชีวิตจริง
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า เราใช้ภาษาในการสื่อสารความคิดและความรู้สึกของเรา เชื่อมโยงเราเข้ากับคนอื่นๆ และกำหนดอัตลักษณ์และเข้าใจโลกที่แวดล้อมด้วยวัฒนธรรมของเราเอง การเรียนหลายๆ ภาษาจึงไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ต้องการจะสื่อสารกับเจ้าของภาษานั้นๆ ให้ได้เท่านั้น หากยังหมายความว่า เราได้เรียนรู้ที่จะมองโลกที่แวดล้อมตัวเราด้วยวัฒนธรรมตลอดจนประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติเจ้าของภาษานั้นๆ ด้วย
อย่างคำ "ไก่งวง" ในภาษาอังกฤษและเตอร์กิชสะท้อนมุมมองเรื่องภาษากับประวัติศาสตร์ไว้ได้สนุกมาก
สมัยที่ยังเป็นเด็ก ผมรู้สึกทั้งขำทั้งสงสัยทุกครั้งที่ได้ยินคำ turkey (ไก่งวง) ในภาษาอังกฤษและสงสัยว่าประเทศทูร์คิเย่ (ตุรกี Turkey-นามเดิม) เป็นประเทศที่เลี้ยงไก่งวงกันทั้งประเทศหรือยังไง แต่เมื่อเริ่มเรียนภาษาเตอร์กิช (ทูร์กเช่ türkçe) ก็ยิ่งรู้สึกทั้งขำและสงสัยมากขึ้น เพราะ "ไก่งวง" ในภาษาเตอร์กิช คือ hindi ที่หมายถึงภาษาฮินดี
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ละนะว่า ชาวอินเดียก็เรียกไก่งวงตามผู้ปกครองอังกฤษในยุคอาณานิคมนั่นแหละ แต่ก็ยังอดขำไม่ได้เมื่อเรียนภาษาฮินดีจนรู้ว่าไก่งวงในภาษาฮินดีคือ tarki หรือ turkey ในภาษาอังกฤษนั่นแหละ
ไก่งวงในภาษาเยอรมันคือ Truthuhn ที่ถอดความได้เป็น "trut hen" อันเป็นชื่อที่ชาวเยอรมันเรียกโดยเลียนเสียงร้องตามธรรมชาติของไก่งวง (onomatopoeic) ที่หูของชาวเยอรมันได้ยินเป็น trut-trut-trut แต่ก็มีอีกทฤษฎีเสนอว่า trut มาจากคำว่า droten ในภาษาเยอรมันยุคกลางที่หมายถึงการขู่ (to threaten) ดังนั้น คำ Truthuhn บางครั้งก็ถูกแปลว่า "ไก่จอมข่มขู่-threatening chicken"
ไก่งวงมีชื่อแปลกๆ ในภาษาญี่ปุ่นและเกาหลีว่า "นกเจ็ดหน้า" หรือ Shichimencho (七面鳥 ชิจิเมนโจ) ในภาษาญี่ปุ่นและ chilmyeonjo (칠면조 ชิลเมียนโจ) ในภาษาเกาหลี รวมทั้ง "ไก่ไฟ" (火雞 Huoji ฮั่วจี) ในภาษาจีน ชาวเม็กซิกันเรียกไก่งวงว่า Guajolote (กัวโฮโลเต้) ซึ่งมาจากคำ huehxolotl ที่ชาว Nahuatl (อัซเทค-Aztec) ใช้เรียกไก่งวง นอกจากนี้ก็มี gjeldeti (เจลเดตี) ในภาษาอัลบาเนียนที่แปลว่า "ไก่ทะเล-gjel deti"
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจความป่วนของคำ "ไก่งวง" ในภาษาต่างๆ โดยไม่ทำความเข้าใจกับความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของ "ไก่งวง" ที่เกี่ยวข้องกับความป่วนของชื่อทางภูมิศาสตร์ด้วย โดยธรรมชาติ ไก่งวงเป็นสัตว์พื้นเมืองของอเมริกาเหนือ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Meleagris gallopavo domestico พูดมาถึงตอนนี้ ก็ยิ่งป่วนหนักเข้าไปอีก
การไขปริศนานี้ เราต้องทำความเข้าใจนกอีกชนิดที่มีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า "ไก่ต๊อก" (อังกฤษ: guinea fowl, guinea hen) ซึ่งเป็นสัตว์ปีกจำพวกไก่ในวงศ์ Numididae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Numida meleagris
ไก่ต๊อกมีจะงอยปากสั้นและหนา สีน้ำตาลหรือแดงอมส้ม มีเหนียงสีเทาอมดำห้อยอยู่ที่จะงอยปากล่างแผ่ไปทั้ง 2 ข้างของคาง และมีเหนียงสีขาวประแดงบริเวณใต้ขากรรไกรทั้ง 2 ข้างด้วย หัวถึงสันคอมีขนเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ลำตัวป้อม ขนหางมี 14-16 เส้น หางสั้น ปลายชี้ลง ขาแข็งแรง ส่วนนิ้วตีนเหมือนไก่ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา ตัวผู้มีเดือยหรือไม่มีแล้วแต่ชนิด
เมื่อดูเผินๆ ลักษณะของไก่ต๊อกจะคล้ายคลึงกันกับไก่งวงมากอย่างที่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องสัตว์ปีกสองชนิดนี้ ก็จะเข้าใจว่าเป็นสัตว์ประเภทเดียวกันได้ง่ายๆ เอาเลยทีเดียว
ในศตวรรษที่ 15-16 จักรวรรดิอ็อตโตมาน (Ottoman Empire) มีบทบาทสำคัญในการค้าโลก เส้นทางการค้าระหว่างโลกตะวันออก (เอเชีย) และตะวันตก (ยุโรป) ล้วนต้องผ่านดินแดนในการปกครองของจักรวรรดิอ๊อตโตมานแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทูร์คิเย่ (ตุรกี) ที่มีนครอิสตันบูลตั้งคร่อมทั้งทวีปเอเชียและยุโรป
ไก่ต๊อกเป็นสัตว์พื้นเมืองของแอฟริกาตะวันออกและเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่ถูกส่งผ่านจักรวรรดิอ็อตโตมานเข้าไปในยุโรป ชาวยุโรปจึงเรียกไก่ต๊อกว่า ไก่ตุรกี (Turkey cock หรือ Turkey hen) อันมีความหมายว่า ไก่ของชาวเติร์ก ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่า ไก่ต๊อกมาเป็นสัตว์พื้นเมืองของชาวเติร์ก
คำ "Turkey cock/hen" ในภาษาฝรั่งเศสคือ dindon/dinde (dindon หมายถึงไก่งวงตัวผู้ dinde หมายถึงไก่งวงตัวเมีย) ซึ่งกร่อนมาจากคำในภาษาฝรั่งเศสเองว่า coq d’Inde ที่แปลว่า ไก่อินเดีย ในทำนองเดียวกันกับชาวฝรั่งเศส ชาวอาร์เมเนียก็เรียกไก่งวงว่าไก่อินเดีย hndkahav หรือ hntkahav (เฮินคาฮาน Հնդկահավ ไม่แน่ใจว่าจะถอดเสียงที่ได้ยินถูกหรือเปล่านะ) ชาวเติร์กก็เรียกไก่ต็อกตามชาวยุโรปว่า ไก่อินเดีย แต่ตัดเหลือแค่ Hindi ซึ่งหมายถึงอินเดีย
คำเรียกไก่งวงในภาษาต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงปูมหลังทางประวัติศาสตร์การค้าโลกได้เป็นอย่างชัดเจน เช่น
- Dīk rūmī (ديك رومي ดิคุน รูมิยุน) ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า "ไก่โรมัน Roman rooster"
- ขณะที่ชาวมาเซโดเนียนเรียกไก่งวงว่า Misir (มิสเซอร์ ไก่งวงตัวผู้) หรือ misirka (มิสเซอร์ก้า ไก่งวงตัวเมีย) ซึ่งหมายถึงอียิปต์ในภาษาอาหรับ (مصر Miṣr มิสเซอร์)
- Galopoúla (γαλοπούλα กาโลปูลา) ในภาษากรีกมีความหมายว่า "ไก่ฝรั่งเศส French chicken" ซึ่งสะท้อนถึงทฤษฎีที่ว่า ชาวฝรั่งเศสเป็นชาติแรกที่นำไก่งวงเข้าไปขายในยุโรป
ชาวมาเลย์เรียกไก่งวงว่า ไก่ดัชท์ (ayam belanda) คำว่า ayam แปลว่า ไก่ belanda มาจากภาษาโปรตุเกส Holanda ซึ่งก็คือคำว่า Holland อันเป็นคำที่ใช้เรียกชาวดัชท์ในยุคโบราณ (แต่หนัง epic ของไทยเรียกวิลันดาได้ยังไง ผมยังไม่ได้ค้นนะ) โดยบริษัท Dutch East India Company เป็นผู้นำไก่งวงมาขายในอุษาคเณย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ชาวมาเลย์จึงเรียกว่า ไก่ดัชท์
ชาวอินโดนีเซียและชาวเดนิชเรียกไก่งวงว่า Kalkun ในขณะที่ชาวเช็คเรียกว่า Krocan ที่เพี้ยนมาจากคำว่า kalkoen ในภาษาดัชท์ (เนเธอร์แลนด์) อันหมายถึงเมืองท่ากัลกัตตา Kolkata ในอินเดีย คำในภาษารัสเชียนที่ใช้เรียกไก่งวงคือ Indeyka (индейка อินดิอีกะ) ในทำนองเดียวกันกับไก่อินเดียในภาษาฝรั่งเศสแต่ในกรณีนี้ ชาวรัสเซียหมายถึงชาวอินเดียนแดงในอเมริกาเหนือ
แต่นั่นคือความเป็นมาแค่ครึ่งเดียว คำ hindi ที่หมายถึงอินเดียมาจากคำว่า indus หรือ sindhu อันเป็นชื่อของแม่น้ำสินธุ ชาวเปอร์เชียโบราณเรียกดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุว่า Hindus และเพี้ยนเป็น Hindi ในเวลาต่อมาเมื่อเรียนรู้เรื่องของอินเดียจากเปอร์เชีย ชาวกรีกก็เพี้ยนเสียงเป็น Indos (Ἰνδός) ชาวโรมันที่เรียกอินเดียตามภาษากรีกโบราณก็ออกเสียงเพี้ยนในภาษาละตินว่า India (Ἰνδία) แต่ปัจจุบันไม่มีประเทศใดเรียกอินเดียว่า Hindi อีกต่อไปแล้ว แต่ใช้เรียกชื่อภาษาราชการของอินเดียแทน
เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเดินทางไปถึงอเมริกาเหนือ แต่คิดเอาเองว่าไปถึงอินเดียแล้ว ก็เลยเรียกชนพื้นเมืองของอเมริกาเหนือว่า อินเดียนแดง (Red Indian) เมื่อชาวยุโรปที่อพยพไปอาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ ส่งนก Meleagris gallopavo domestico กลับไปยังแผ่นดินแม่ ชาวยุโรปก็เข้าใจว่าเป็นไก่สายพันธุ์เดียวกันกับไก่ต๊อกจึงเรียกว่า Turkey เช่นเดียวกัน ในศตววรษที่ 16 ชาวโปรตุเกสเข้าใจว่า ไก่งวงมีต้นกำเนิดจากดินแดนเปรูในอเมริกาใต้จึงเรียกไก่งวงว่า Peru
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิอ็อตโตมานล่มสลายกลายเป็นสาธารณรัฐตุรกี (The republic of Turkey หรือ Türkiye Cumhuriyeti-ทุร์คิเย่ จุมฮุริเยติ) ซึ่งชาวยุโรปเรียกสั้นๆ ว่า Turkey อันเป็นชื่อที่บ่งบอกว่า นี่คือดินแดนตุรกีของชาวเติร์ก ถึงตอนนี้ก็เป็นอันว่าจบเรื่องไก่งวงได้
แต่เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โครงสร้างของประโยค ในฐานะคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษกันมา เราจะเคยชินกับรูปประโยคแบบ ประธาน-กิริยา-กรรม ซึ่งเหมือนกันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ก็ใช่ว่า ภาษาในโลกจะเรียงลำดับแบบนี้เหมือนกันทั้งหมด ภาษาเตอร์กิชจะเรียงลำดับแบบ ประธาน-กรรม-กิริยา ซึ่งแตกต่างจากภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ และก็ไม่ใช่ภาษาเดียวในโลกที่มีรูปประโยคแบบนี้ ภาษาฮินดีและภาษาญี่ปุ่นก็มีโครงสร้างของรูปประโยคแบบเดียวกันนี้
การละประธานสรรพนามบุรุษที่ 1 ออกจากประโยคเป็นสิ่งที่พบได้ในภาษาเตอร์กิช และก็พบในภาษาญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เพื่อนร่วมชายคาชาวญี่ปุ่นเคยบอกผมว่า คำสรรพนามบุรุษที่ 1 ในภาษาญี่ปุ่น จะถูกละออกจากประโยคไปเลย นั่นหมายความว่า คุณไม่จำเป็นต้องพูดว่า I got it (ผมเข้าใจ) แต่พูดแค่ got it (わかった wakatta เข้าใจ) เพื่อแสดงการรับรู้ก็พอ
ความเข้าใจในหลักไวยกรณ์ภาษาต่างๆ เป็นเรื่องที่สำคัญต่อการทำความเข้าใจภาษานั้นๆ แต่โครงสร้างของประโยคและคำต่างๆ ที่มีใช้ในแต่ละภาษา ก็มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ด้วย อย่างที่เอ็ดเวิร์ด ซาปีร์และเบนจามิน วอร์ฟ นำเสนอไว้เป็นแนวคิดที่เรียกกันในภายหลังว่า สมมุติฐานซาปีร์-วอร์ฟ (Sapir-Wharf Hypothesis) ซึ่งเสนอว่า ภาษาที่เราใช้ มีอิทธิพลต่อมุมมองและความเข้าใจที่เรามีต่อโลกที่แวดล้อมตัว
ภาษาแต่ละภาษาจะมีผลต่อการก่อรูปความคิด อารมณ์และพฤติกรรมของเรา แม้จะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีอิทธิพลต่อความคิดและจิตใจของมนุษย์ก็ตาม
เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ส่วนตัวในการเรียนหลายๆ ภาษาพร้อมๆ กันแล้ว โครงสร้างของรูปประโยคก็น่าจะมีผลต่อกระบวนการก่อรูปของความคิดมนุษย์อยู่ไม่น้อย
...
ยังมีต่อ
To be continued
Continuará
À suivre
つづく

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา