3 ก.พ. เวลา 05:18

การเข้ามาของจีนเพื่อปราบปรามทุนจีนเทามีผลต่อความมั่นคงของไทยในอนาคต

การเข้ามาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของMSS ซึ่งรับผิดชอบด้านความมั่นคงและการข่าวของจีนในห้วงปลายมกราคม ๒๕๖๘ เพื่อชี้ประเด็นการนำในการปราบปรามทุนจีนสีเทาในฝั่งเมียนมา กำลังจะกลายจุดเริ่มต้นที่จีนจะเข้ามามีอิทธิพลเหนืออำนาจอธิปไตยของไทย ทั้งที่ในความเป็นจริงควรเป็นกิจการภายในของไทยในการดำเนินการในเรื่องนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ จีนใช้ช่องทางตำรวจในการขยับเคลื่อนการเกี่ยวพันโดยที่ทางหน่วยงานความมั่นคงไม่ได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ การไม่มีความรอบคอบจะมีผลให้จีนสามารถเข้ามาจัดตั้งกลไกภายในร่วมกับตำรวจไทย และจะอ้างประเด็นต่างๆที่จะทำให้จีนสามารถขยับการสร้างสร้างแรงกดดันจากข้อมูลทางการข่าวที่จีนมี โดยเฉพาะการใช้ประเด็นที่มีเจ้าหน้าที่และคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการประกอบกิจกรรมของทุนจีนเท่าในฝั่งเมียนมา
การประเมินข้างต้นไม่เกินความเป็นจริง สามารถเห็นตัวอย่างจากการที่จีนใช้เรื่องทุนจีนเทาเข้าไปมีบทบาทและอิทธิพลในเมียนมา นับตั้งแต่การเตือน แจ้งให้เมียนมาปราบปรามกลุ่มอาชญกรรมชาวจีน
ซึ่งในความเป็นจริงจีนรู้ว่ากองทัพเมียนมาได้รับผลประโยชน์จากกลุ่มทุนจีนเทาผ่านกลุ่มBGF ในหลายพื้นที่ รวมทั้งชนกลุ่มน้อยก็ได้รับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน เพราะต้องทุนในการต่อสู้ขยายพื้นที่ในห้วงกองทัพเมียนมาอ่อนแอ การใช้ชนกลุ่มน้อยในการยึดพื้นที่เพื่อทำลายกองกำลังBGFที่ได้รับผลประโยชน์จากทุนจีนเท่า เช่นในเขตพื้นที่โกกั้ง ตามมาด้วยการยึดเมืองราโช ในรัฐฉานเหนือ
จากนั้น ก็มีข้อตกลงกับรัฐบาลกองทัพเมียนมาในการส่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือที่เรียกว่าPublic Security Company/PSC เข้ามาดูแลผลประโยชน์ของจีนในเมียนมา ซึ่งในแง่ของการปกครองแล้ว ถือว่าเมียนมาสูญเสียอำนาจอธิปไตย เพราะข้อตกลงทำให้รัฐบาลเมียนมาไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ โดยตัวอย่างข้างต้นกำลังจะเกิดขึ้นในไทย เพราะแรงกดดันและการพึ่งพาจีนในด้านเศรษฐกิจของไทย กำลังจะก่อให้เกิดการแนวทางที่ไม่ต่างจากเมียนมา
ที่สำคัญการที่มีข่าวสารว่าว่าจีนเสนอให้มีการตั้งศูนย์ประสานงานป้องกันและปราบปรามกลุ่มCall Center เพื่อจะส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่ของไทย และดูเหมือนว่าตำรวจไทยจะรับในเรื่องนี้ ไม่เป็นผลดีกับความมั่นคงของไทย ซึ่งในความเป็นจริงควรหารือในระดับนโยบายผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ(กต. หน่วยข่าว ทหาร ตำรวจ สมช)และให้รัฐบาลตัดสินใจ
เพื่อพิจารณาผลกระทบที่จะตามทุกแง่มุม หรือแสวงหาทางออกอื่นเสียก่อน เนื่องจากจะเป็นการผูกมัดกับไทย และจะไม่สามารถแก้ไขในเชิงลึกและซับซ้อนที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มแนวร่วมของจีนในไทยได้เติบโตขึ้นและขยายไปในหลายวงการ อาทิ ในสถาบันการศึกษา และมีการจัดตั้งสมาคมไทยจีนในหลายระดับ
ดังนั้น การเข้ามาของจีนในระดับนี้ ได้ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานด้านความมั่นคงต้องรับผิดชอบอย่างเดียว แต่ระดับนโยบายต้องไตร่ตรองและให้ความสำคัญเนื่องจากในระยะต่อไปมุมมองของตะวันตก จะมองไทยว่าเลือกข้างและอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน ซึ่งจะส่งผลให้เป็นพื้นที่ของความขัดแย้งในทางภูมิรัฐศาสตร์หรือของมหาอำนาจ เสียเอง ดังนั้นความยุ่งยากความวุ่นวายจะเกิดขึ้นในที่สุดหากไทยรับแรงกดดันไม่ไหวและต้องดำเนินโครงการBRIตามที่จีนต้องการให้เกิดขึ้นเหมือนในประเทศ ลาว กัมพูชา และเมียนมา
โฆษณา