17 ก.พ. เวลา 02:09 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จากยางพาราสู่ชิปเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อมาเลเซียท้าชิงบัลลังก์เทคโนโลยีในเอเชีย

ต้องบอกว่าสถานการณ์ในตอนนี้มาเลเซียมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีแห่งใหม่ของโลก จากประเทศที่เคยส่งออกแค่ยางพารากับดีบุก วันนี้พวกเขากำลังจะกลายเป็นฐานผลิตชิปที่สำคัญของโลก
ลองคิดดูว่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Intel และ Infineon ต่างทุ่มเงินลงทุนบริษัทละ 7 พันล้านดอลลาร์ในมาเลเซีย Nvidia ก็จะมาสร้างศูนย์ข้อมูล AI มูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์ แถม Texas Instruments ยังจะสร้างโรงงานประกอบชิปอีก 3.1 พันล้านดอลลาร์
แต่นั่นยังไม่หมด มีบริษัทดังๆ จากทั่วโลกแห่กันเข้ามาลงทุนในมาเลเซีย ทั้ง Bosch จากเยอรมนี AT&S จากออสเตรีย Ericsson จากสวีเดน Simtech จากเกาหลีใต้ รวมถึงบริษัทจากจีนอย่าง Funy Metal Technology ด้วย
ทำไมบริษัทพวกนี้ถึงสนใจมาเลเซียขนาดนั้น? คำตอบก็คือ เพราะมาเลเซียมีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ ทั้งทำเลที่ตั้งที่ดี โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม แรงงานที่มีความรู้และพูดภาษาอังกฤษได้ดี
แต่รู้มั้ยว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จของมาเลเซียไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาต้องการเงินลงทุนอีกอย่างน้อย 107 พันล้านดอลลาร์เพื่อที่จะก้าวขึ้นไปเป็นศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลก เหมือนญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือเกาหลีใต้
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซียคือการหลุดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่า “กับดักรายได้ปานกลาง” คือสภาวะที่ประเทศติดอยู่ตรงกลางระหว่างความรวยกับความจน ไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้
ย้อนกลับไปในยุค 60s มาเลเซียกับเกาหลีใต้เริ่มต้นพัฒนาประเทศพร้อมกัน มี GDP ต่อหัวใกล้เคียงกัน แต่วันนี้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่รวยแล้ว ส่วนมาเลเซียยังคงติดอยู่ในกับดักเดิม
แต่วิกฤตก็มาพร้อมโอกาสเสมอ ตอนนี้จีนกับอเมริกากำลังมีปัญหากัน ทำให้บริษัทต่างๆ มองหาสถานที่ใหม่ ๆ ในการตั้งโรงงาน และมาเลเซียก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรม AI หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 617 พันล้านดอลลาร์
1
รู้มั้ยว่าตอนนี้มาเลเซียครองส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 13% ในด้านการประกอบและทดสอบชิป ซึ่งสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 25% ของ GDP และรัฐบาลก็มีแผนที่จะพัฒนาให้มากกว่านี้อีก
1
เขามีแผนที่เรียกว่า “แผนแม่บทอุตสาหกรรมใหม่ 2030” ที่จะยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลก บริษัทท้องถิ่นอย่าง Sterra และ Upstar Technology ก็กำลังพยายามเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเพื่อที่จะผลิตชิปเองได้
2
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปถึงยุค 70s ตอนนั้นมาเลเซียมีนโยบายที่เรียกว่า “New Economic Policy” ที่พยายามจะเปลี่ยนประเทศจากการพึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบ ไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น
ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดคือการพัฒนารัฐ Penang จากหมู่บ้านชาวประมงให้กลายเป็น “Silicon Valley แห่งตะวันออก” ดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Bosch, Motorola, Dell, Intel และ Hewlett Packard มาลงทุน
วันนี้ Penang มีบริษัทข้ามชาติมากกว่า 350 แห่ง และส่งออกชิปคิดเป็น 5% ของการส่งออกทั่วโลก แต่ความสำเร็จนี้กลับทำให้เกิดปัญหา เพราะนักการเมืองในกรุงกัวลาลัมเปอร์รู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง
พวกเขาเลยดึงทรัพยากรและคนเก่งๆ จากทั่วประเทศเข้าไปในเมืองหลวง ทำให้ Penang เสียความได้เปรียบ และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung กับ TSMC ก็แซงหน้าไป
แต่ตอนนี้มาเลเซียกำลังได้โอกาสครั้งที่สอง รัฐบาลทุ่มเงินมหาศาลเพื่อฟื้นฟู Penang สร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ขนาด 1 ล้านตารางฟุต ดึงดูดบริษัทอย่าง Jabil, Western Digital และ Lam Research มาลงทุน
1
ที่เขต Kulim บริษัท Infineon จากเยอรมนีกำลังลงทุน 5.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปซิลิคอนคาร์ไบด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชิปพวกนี้สำคัญมากสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และมีบริษัทจีนอีกกว่า 50 แห่งย้ายมาที่นี่ด้วย
DHL Express ก็กำลังสร้างระบบขนส่งเชื่อมระหว่างจีนตอนใต้กับ Penang ส่วนท่าเรือ Klang และ Tanjung Pelepas ที่ติดอันดับ 15 ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็กำลังพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและทดสอบชิป
นอกจากนี้ที่เมือง Semban และ Malacca กำลังสร้างศูนย์อุตสาหกรรมใหม่เพื่อรองรับ Nexperia และ Infineon ส่วนที่เมือง Kuching บนเกาะบอร์เนียว บริษัท Taiyo Yuden จากญี่ปุ่นก็กำลังขยายกิจการ
แต่มาเลเซียก็มีปัญหาใหญ่ นั่นคือการสมองไหล ตอนนี้ขาดแคลนแรงงานถึง 1.2 ล้านตำแหน่ง ครึ่งหนึ่งเป็นสายวิศวกรรมและการผลิต แต่ผลิตบัณฑิตวิศวกรรมได้แค่ปีละ 5,000 คน
แม้รัฐบาลจะมีแผนผลิตวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มอีก 60,000 คน แต่ค่าจ้างที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านทำให้คนเก่งๆ ย้ายไปทำงานที่อื่น อีกปัญหาคือค่าที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะใน Penang
1
คู่แข่งสำคัญของมาเลเซียคือสิงคโปร์ ที่ดึงดูดการลงทุนได้ 4 พันล้านดอลลาร์จากบริษัทอย่าง Global Foundries และ Vanguard International Semiconductor รวมถึง Applied Materials ที่กำลังสร้างโรงงานมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์
สิงคโปร์จ่ายเงินเดือนสูงกว่ามาเลเซียถึง 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน แถมการเมืองก็นิ่งกว่ามาก ไม่เหมือนมาเลเซียที่สี่ปีที่ผ่านมามีนายกฯ ถึงสี่คน ทำให้นโยบายไม่ต่อเนื่อง
1
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องภาษีสินค้าและบริการที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามรัฐบาล ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ นี่ยังไม่รวมเรื่องที่มาเลเซียต้องรักษาสมดุลระหว่างจีนกับอเมริกา
เห็นได้จากกรณี Jetronics บริษัทมาเลเซียที่โดนข้อหาละเมิดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ถ้าอเมริกาต้องการ พวกเขาสามารถหยุดการเติบโตของอุตสาหกรรมชิปในมาเลเซียได้เลย
ในขณะเดียวกัน จีนก็เป็นแหล่งนำเข้าวัตถุดิบสำคัญอย่างเจอร์เมเนียมและแกลเลียมที่จำเป็นต่อการผลิตชิป การค้ากับจีนมีมูลค่ารวมกว่า 69.7 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดมา 15 ปีแล้ว
แต่ถึงจะมีความท้าทายมากมาย มาเลเซียก็ยังมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ถ้าเขาผสมผสานนโยบายที่ดี ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และรักษาสมดุลทางการทูตได้ดี
ที่สำคัญที่สุดคือต้องพัฒนาคนและสร้างระบบนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง ความสำเร็จหรือล้มเหลวของมาเลเซียจะไม่เพียงกำหนดอนาคตของเขาเท่านั้น แต่จะส่งผลต่อทั้งภูมิภาคอาเซียนและห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลกด้วย
ถ้ามาเลเซียทำสำเร็จ เขาจะเป็นแบบอย่างให้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางและพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิภาคของเราอย่างแน่นอนนั่นเองครับผม
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา