11 มี.ค. เวลา 13:14 • บันเทิง

สรพงศ์ ชาตรี ( ชีวะประวัติ/วิชาการ)

ตำนานพระเอกแห่งวงการภาพยนตร์ไทย
ดร. ทรงพล เทอดรัตนเกียรติ เรียง
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 วงการบันเทิงไทยต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อ สรพงศ์ ชาตรี ศิลปินแห่งชาติและพระเอกในตำนานของวงการภาพยนตร์ไทย ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอดในวัย 71 ปี หลังจากที่ท่านได้สร้างผลงานอันทรงคุณค่าไว้มากกว่า 500 เรื่องตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีในวงการบันเทิง
สรพงศ์เป็นนักแสดงที่มีความสามารถโดดเด่นและได้รับการยกย่องให้เป็นพระเอกผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล ผู้มีบทบาทสำคัญในการยกระดับวงการภาพยนตร์ไทย ทั้งในด้านศิลปะการแสดงและการสะท้อนภาพสังคม บทความนี้จะนำเสนอประวัติ ชีวิต ผลงาน และความสำเร็จของสรพงศ์ ชาตรี ที่ได้สร้างรอยประทับไว้ในวงการภาพยนตร์ไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ประวัติชีวิตและภูมิหลัง
กำเนิดและการศึกษา
สรพงศ์ ชาตรี มีชื่อเล่นว่า เอก ชื่อเดิมคือ พิทยา เทียมเศวต และภายหลังเปลี่ยนเป็น กรีพงษ์ เทียมเศวต เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2493 ที่อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เรียบง่ายก่อนจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง[1][3] ในด้านการศึกษา สรพงศ์จบการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นได้บวชเรียนตั้งแต่อายุเพียง 8 ปี
ที่วัดเทพสุวรรณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และวัดดาวดึงส์ บางยี่ขัน ธนบุรี จนกระทั่งลาสิกขาบทเมื่อ พ.ศ. 2512 เมื่ออายุได้ 11 ปี[1][4] การบวชเรียนในวัยเยาว์นี้อาจเป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมบุคลิกภาพและวิถีการดำเนินชีวิตของเขาในเวลาต่อมา
แม้จะมีพื้นฐานการศึกษาในระบบที่ไม่สูงนัก แต่ด้วยความสามารถและประสบการณ์ทางด้านการแสดงที่โดดเด่น ในปี พ.ศ. 2552 สรพงศ์ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ศิลปศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการได้รับการยอมรับในฐานะบุคคลผู้มีคุณูปการต่อสังคมและวงการศิลปะการแสดงของไทย[1][3]
ที่มาของชื่อ "สรพงศ์ ชาตรี"
ชื่อ "สรพงศ์ ชาตรี" ที่คนไทยคุ้นเคยและจดจำได้เป็นอย่างดีนั้น แท้จริงแล้วเป็นชื่อที่ใช้ในวงการบันเทิง ไม่ใช่ชื่อจริงตามกฎหมาย โดยผู้ตั้งชื่อนี้ให้คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ และหม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา ซึ่งมีที่มาอันน่าสนใจ คำว่า "สร" มาจาก อนุสรมงคลการ,
"พงศ์" มาจาก สุรพงศ์ โปร่งมณี ซึ่งเป็นผู้พาเขามาฝากตัวกับหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล และ "ชาตรี" มาจาก ชาตรีเฉลิม[1][6] การตั้งชื่อในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างสรพงศ์กับตระกูลยุคล ณ อยุธยา ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง
การเข้าสู่วงการบันเทิง
จุดเริ่มต้นกับหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของสรพงศ์เกิดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ 19 ปี เมื่อได้พบกับหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือที่รู้จักกันในนาม "ท่านมุ้ย" ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ซึ่งได้ชักชวนให้เขามาอาศัยอยู่ที่วังละโว้ ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ[1][4] การได้รับโอกาสให้เข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยศิลปินและผู้มีความรู้ทางด้านศิลปะการแสดงนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่เปิดโลกทัศน์และปูทางให้สรพงศ์เข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว
สรพงศ์เริ่มงานแสดงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2512 โดยรับบทเป็นตัวประกอบและเป็นเด็กยกของในกองถ่ายละครเรื่อง "นางไพรตานี" ซึ่งฉายทางช่อง 7 และต่อมาได้เล่นเป็นตัวประกอบในละครเรื่อง "ห้องสีชมพู" และ "หมอผี" ซึ่งกำกับโดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล[1][3] การเริ่มต้นจากบทบาทเล็กๆ และการเรียนรู้งานหลังกล้องเช่นนี้ เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้สรพงศ์เข้าใจกระบวนการสร้างภาพยนตร์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งต่อมาได้ช่วยพัฒนาทักษะการแสดงของเขาให้มีความเป็นธรรมชาติและเข้าถึงบทบาทได้อย่างลึกซึ้ง
จากนักแสดงตัวประกอบสู่พระเอกชั้นครู
ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของสรพงศ์คือการเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่อง "สอยดาว สาวเดือน" เมื่อ พ.ศ. 2512 ซึ่งเขารับบทเป็นลูกน้องนักเลงที่มีเรื่องกับตัวละครของชนะศรีอุบล[3] หลังจากนั้น เขายังคงได้รับบทตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องที่ 2 และ 3 ที่ยังไม่มีบทพูด ก่อนจะเริ่มมีบทพูดตามลำดับ[1]
จุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพนักแสดงของสรพงศ์เกิดขึ้นเมื่อเขาได้รับบทเป็นพระเอกเต็มตัวครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่องที่ 4 คือเรื่อง "มันมากับความมืด" ในปี พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล[1][2]
"มันมากับความมืด" ถือเป็นภาพยนตร์แนวไซไฟเรื่องแรกของวงการภาพยนตร์ไทย มีกลิ่นอายของหนังไซไฟจากฮอลลีวูดยุค 50 ซึ่งถือว่าแหวกแนวมากสำหรับภาพยนตร์ไทยในสมัยนั้น[2] ความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้สรพงศ์กลายเป็นพระเอกโด่งดังและได้รับบทในภาพยนตร์ของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิมเรื่อยมา จนกลายเป็นพระเอกและนักแสดงคู่บุญของท่านมุ้ย[2]
ผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่น
ยุคบุกเบิกกับภาพยนตร์สะท้อนสังคม
หลังจากประสบความสำเร็จจาก "มันมากับความมืด" สรพงศ์ได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง "เขาชื่อกานต์" (2516) ซึ่งเป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 2 ของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล สร้างจากนวนิยายของสุวรรณี สุคนธา[2] ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการภาพยนตร์ไทย
เนื่องจากเป็นหนึ่งในภาพยนตร์รุ่นแรกๆ ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาสังคม ทั้งความยากจน ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น และการคอร์รัปชั่น ในเรื่องนี้ สรพงศ์รับบทเป็น "กานต์" หมอหนุ่มผู้มีอุดมการณ์สูงที่ยอมอุทิศตนไปรักษาคนไข้ในเขตชนบท จนเกิดความขัดแย้งกับข้าราชการท้องถิ่นและถูกลอบยิงจนเสียชีวิต[2]
ในปี พ.ศ. 2517 สรพงศ์ได้พลิกบทบาทครั้งสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง "เทพธิดาโรงแรม" ซึ่งเป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 3 ของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล โดยเขารับบท "โทน" แมงดาหนุ่มในซ่อง ซึ่งเป็นบทบาทที่แตกต่างจากภาพพระเอกที่ดูดีตามขนบของภาพยนตร์ไทยในยุคนั้น[2] การรับบทบาทที่หลากหลายในช่วงต้นของอาชีพแสดงได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าที่จะทดลองและความสามารถในการเข้าถึงตัวละครที่แตกต่างของสรพงศ์
ยุคทองของการแสดง
ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จสูงสุดของสรพงศ์คือในช่วงปลายทศวรรษ 2510 ถึงกลางทศวรรษ 2520 เมื่อเขาได้รับบทนำในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมและการยอมรับจากทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ ในปี พ.ศ. 2519 เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง "ชีวิตบัดซบ" ผลงานการกำกับของเพิ่มพล เชยอรุณ ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลตุ๊กตาทองเป็นครั้งแรกในชีวิต[2][1]
ในปีถัดมา เขาได้แสดงเป็นพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง "แผลเก่า" (2520) กำกับโดยเชิด ทรงศรี ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงไปถึงต่างประเทศและถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไทยคลาสสิกที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดเรื่องหนึ่ง[1][3]
อีกผลงานสำคัญคือภาพยนตร์เรื่อง "มือปืน" (2526) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นเอกของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ในเรื่องนี้ สรพงศ์รับบทเป็น "จ่าสมหมาย ม่วงทรัพย์" มือปืนรับจ้างขาเป๋ที่เคยเป็นนายทหารร่วมรบในสมรภูมิที่ลาวจนเสียขาไปข้างหนึ่ง ทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมทั้งจากรางวัลตุ๊กตาทองและรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ[2] การถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครที่ซับซ้อนและมีมิติลึกนี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางการแสดงที่สุกงอมของสรพงศ์
ผลงานในช่วงบั้นปลายชีวิต
ในช่วงท้ายของอาชีพการแสดง สรพงศ์ยังคงมีผลงานที่โดดเด่นและได้รับการยอมรับ ในปี พ.ศ. 2544 เขาได้แสดงในภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์เรื่อง "สุริโยไท" กำกับโดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล โดยรับบทเป็น "หมื่นราชเสน่หา" หรือ เจ้าพระยาภักดีนุชิต ขุนนางไทยผู้หาญกล้า[2] บทบาทนี้ทำให้เขาได้รับหลายรางวัลในสาขาผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ทั้งจากรางวัลสุพรรณหงส์ รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง คมชัดลึก อวอร์ด และสตาร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ อวอร์ดส์[2]
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่น่าจดจำของสรพงศ์ในยุคหลัง คือการรับบทเป็น "พระมหาเถรคันฉ่อง" ในภาพยนตร์ชุด "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเข้าถึงตัวละครทางประวัติศาสตร์ได้อย่างมีมิติ[6]
รางวัลและเกียรติยศ
รางวัลจากการแสดง
ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีในวงการบันเทิง สรพงศ์ได้รับรางวัลมากมายที่สะท้อนถึงความสามารถอันโดดเด่นของเขา เขาได้รับรางวัลตุ๊กตาทองพระสุรัสวดี สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมหลายครั้ง ได้แก่ ปี พ.ศ. 2518 จากเรื่อง "สัตว์มนุษย์", ปี พ.ศ. 2520 จากเรื่อง "ชีวิตบัดซบ", ปี พ.ศ. 2526 จากเรื่อง "มือปืน", ปี พ.ศ. 2536 จากเรื่อง "มือปืน 2 สาละวิน" และ ปี พ.ศ. 2539 จากเรื่อง "เสียดาย 2"[1]
นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมหลายครั้ง ได้แก่ ปี พ.ศ. 2524 จากเรื่อง "ถ้าเธอยังมีรัก", ปี พ.ศ. 2526 จากเรื่อง "มือปืน" และได้รับรางวัลในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในปี พ.ศ. 2551 จากเรื่อง "องค์บาก 2"[1] ความหลากหลายของรางวัลที่ได้รับทั้งในบทบาทนำและบทบาทสมทบแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและความสามารถทางการแสดงที่ไม่จำกัดอยู่เพียงบทบาทใดบทบาทหนึ่ง
ศิลปินแห่งชาติ
จุดสูงสุดของเกียรติยศในชีวิตของสรพงศ์คือการได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ในปี พ.ศ. 2551[6][7] ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเขาที่มีต่อวงการศิลปะการแสดงของไทย การได้รับการยกย่องในระดับนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสามารถส่วนตัวของสรพงศ์เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเขาในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของวงการภาพยนตร์ไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
ชีวิตส่วนตัวและการจากไป
ครอบครัว
สรพงศ์ ชาตรี เคยสมรสกับนางเอกชื่อดัง 'โย' ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ และมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ ขวัญ พิมพ์อัปสร ต่อมามีบุตรคนที่ 2-4 กับ 'แอ๊ด' พิมพ์จันทร์ ใจวงศ์ ได้แก่ พิศุทธินี (เอิง), พิศรุตม์ (เอม) และ พิทธกฤต เทียมเศวต (อั้ม)[4][6] ในช่วงหลังของชีวิต สรพงศ์ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับดวงเดือน จิไธสงค์ รองมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2529 และรองนางสาวไทย ปี 2530[6]
บทบาทนอกวงการบันเทิง
นอกจากการเป็นนักแสดง สรพงศ์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านอื่นๆ ของสังคม เขาดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เมตตาบารมี อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา และเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านศิลปะร่วมสมัย) สาขาศิลปะการแสดงในคณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย[3][4] การอุทิศตนให้กับงานด้านสังคมนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของเขาในการพัฒนาและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยในหลากหลายมิติ
การจากไป
สรพงศ์ ชาตรี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 เวลา 15.51 น. ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ด้วยโรคมะเร็งปอดในวัย 71 ปี หลังจากได้รับการรักษาตัวมาอย่างต่อเนื่อง[3][7] การจากไปของเขาสร้างความเศร้าโศกและความสูญเสียครั้งใหญ่ให้กับวงการบันเทิงไทยและแฟนๆ ที่ติดตามผลงานของเขามาตลอดหลายทศวรรษ แม้ว่าตัวของสรพงศ์จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ผลงานและคุณูปการของเขายังคงได้รับการยกย่องและจดจำในฐานะพระเอกตลอดกาลของวงการภาพยนตร์ไทย
มรดกทางวัฒนธรรมและผลกระทบต่อวงการภาพยนตร์ไทย
นักแสดงผู้สร้างมาตรฐานใหม่
สรพงศ์ ชาตรี ไม่เพียงแต่เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้บุกเบิกและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ไทย ทั้งในแง่ของการแสดงที่มีความเป็นธรรมชาติและการเลือกรับบทบาทที่มีความหลากหลาย ทั้งบทพระเอก ตัวร้าย และตัวละครที่มีความซับซ้อน เขามีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของพระเอกในภาพยนตร์ไทย จากเดิมที่มักจะเป็นเพียงตัวละครหล่อเหลาไร้ที่ติ ให้กลายเป็นตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี มีความขัดแย้งภายในจิตใจ และมีพัฒนาการตามเนื้อเรื่อง
การที่สรพงศ์กล้าที่จะรับบทบาทที่แตกต่างและท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นแมงดาในเรื่อง "เทพธิดาโรงแรม" หรือมือปืนรับจ้างในเรื่อง "มือปืน" ได้ช่วยขยายขอบเขตของการแสดงและการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ไทย ทำให้ผู้ชมได้เห็นมุมมองที่แตกต่างและสมจริงมากขึ้นของสังคมไทย การที่เขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้อย่างลึกซึ้งและสมจริงนี้ ไม่เพียงทำให้เขาได้รับการยอมรับในฐานะนักแสดงที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักแสดงรุ่นหลังในการพัฒนาฝีมือและความเข้าใจในศิลปะการแสดงอีกด้วย
ภาพยนตร์ที่สะท้อนสังคมและวัฒนธรรมไทย
ผลงานของสรพงศ์หลายเรื่องไม่เพียงแต่เป็นความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นงานศิลปะที่สะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยในช่วงเวลานั้นๆ ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่อง "เขาชื่อกานต์" ที่วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาคอร์รัปชั่นและความเหลื่อมล้ำในสังคมชนบท หรือเรื่อง "มือปืน" ที่นำเสนอชีวิตของทหารผ่านศึกที่ต้องปรับตัวหลังกลับจากสงคราม ภาพยนตร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้ผู้ชมตระหนักถึงปัญหาสังคมและเกิดการถกเถียงในประเด็นที่มีความสำคัญ
ในยุคหลัง ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ที่สรพงศ์มีส่วนร่วม เช่น "สุริโยไท" และ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" ก็มีบทบาทสำคัญในการรื้อฟื้นและนำเสนอประวัติศาสตร์ไทยในรูปแบบที่เข้าถึงผู้ชมสมัยใหม่ได้มากขึ้น แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนและดัดแปลงเนื้อหาบางส่วนเพื่อความเหมาะสมในการนำเสนอผ่านสื่อภาพยนตร์ แต่ภาพยนตร์เหล่านี้ก็ได้ช่วยจุดประกายความสนใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยให้กับคนรุ่นใหม่
บทสรุป
สรพงศ์ ชาตรี เป็นมากกว่านักแสดงที่มีชื่อเสียง เขาคือตำนานพระเอกผู้ทรงอิทธิพลที่ได้สร้างรอยประทับไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน ความสามารถในการเข้าถึงและถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครที่หลากหลาย ทั้งพระเอก ตัวร้าย และตัวละครที่มีความซับซ้อน ทำให้เขาได้รับการยอมรับในฐานะนักแสดงที่ยิ่งใหญ่และได้รับเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ
ผลงานการแสดงกว่า 500 เรื่องตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีในวงการบันเทิงของสรพงศ์ ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม แต่ยังสะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยในช่วงเวลาต่างๆ ได้อย่างมีศิลปะ เขาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของวงการภาพยนตร์ไทย ทั้งในแง่ของการแสดงและการเล่าเรื่อง การจากไปของสรพงศ์อาจเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการบันเทิงไทย
แต่มรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมที่เขาทิ้งไว้ จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าและความหมายต่อไป แม้ว่าตัวเขาจะจากไปแล้ว แต่ผลงานและความทรงจำเกี่ยวกับสรพงศ์ ชาตรี จะยังคงอยู่ในใจของคนไทยตลอดไป
Citations:
[1] เปิดประวัติ สรพงศ์ ชาตรี ตำนานพระเอกตลอดกาล สู่ศิลปินแห่งชาติ https://www.amarintv.com/news/entertain/125240
[2] 10 ภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาดกับฝีมือการแสดงอันทรงคุณค่าของ "สรพงศ์ ชาตรี" https://www.sanook.com/movie/121589/
[3] ประวัติสรพงศ์ ชาตรี พระเอกดังค่ายท่านมุ้ย ผลงานแสดง 500 เรื่อง https://today.line.me/th/v2/article/l2ZYN2B
[4] ประวัติ สรพงศ์ ชาตรี เสียชีวิต - ข่าวบันเทิง - TrueID https://entertainment.trueid.net/detail/dXPd7GVLZwrX
[5] ล่าด่วนนรก (2529) | หนังไทย เต็มเรื่อง | สรพงศ์ ชาตรี - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=lwf0WSXvCfo
[6] เปิดประวัติ 'สรพงษ์ ชาตรี' จากตัวประกอบ สู่พระเอกชั้นครู 'ตลอดกาล' - ช่อง 8 https://www.thaich8.com/news_detail/106219
[7] ประวัติ “สรพงศ์ ชาตรี” พระเอกดังในตำนาน ผลงานสร้างชื่อมากมาย https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87/167831
[8] มือเหนือเมฆ (2527) | หนังไทย เต็มเรื่อง | สรพงศ์ ชาตรี | คลาสสิคฟิล์ม https://www.youtube.com/watch?v=nOm1gh_AdGI
[9] ประวัติ "สรพงษ์ ชาตรี" พระเอกตลอดกาลวงการบันเทิงไทย สู่ศิลปินแห่งชาติ https://www.sanook.com/campus/1409111/
[10] สิ้น "สรพงษ์ ชาตรี" เสียชีวิตอย่างสงบ ด้วยโรคมะเร็ง สิริอายุ 73 ปี https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/992876
[11] เพชรสองคม (2529) | หนังไทย เต็มเรื่อง | สรพงศ์ ชาตรี | คลาสสิคฟิล์ม https://www.youtube.com/watch?v=Ayc3ySBlIEQ
ฝ[14] สรพงษ์ ชาตรี อัลบั้มคนกันเอง - YouTube https://www.youtube.com/playlist?list=PLeSo6GZ8YvKM03U1xpbmUnm5YMWihOc-d
[15] สรพงศ์ ชาตรี พระเอกตลอดกาลของวงการบันเทิง | ย้อนวันวาน ตำนานคน ... https://www.youtube.com/watch?v=Nc8FBfdNsU4
[16] ส่องโฉมหน้า 4 ทายาทของ สรพงศ์ ชาตรี อดีตพระเอกดังผู้ล่วงลับ - ผู้หญิง https://women.kapook.com/view253411.html
[17] อาลัยพระเอกตลอดกาล "สรพงศ์ ชาตรี" (10 มี.ค. 65) - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=1-iBgLxX0lo
[18] สรพงษ์ ชาตรี - YouTube https://www.youtube.com/playlist?list=PL6SmMir0r0VjMRir2UejOziHA36DZXuxu
[19] สรพงศ์ ชาตรี - YouTube https://www.youtube.com/playlist?list=PLxjBReb1auRoOaZEQzCJOEBaaAlJ34uAF
[20] สรพงษ์ ชาตรี แสดงภาพยนตร์มามากกว่า 600 ลองบอกหนังที่ท่านชอบมาก ... https://pantip.com/topic/41313968
[21] ยิงทิ้ง (2529) | หนังไทย เต็มเรื่อง | สรพงศ์ ชาตรี | คลาสสิคฟิล์ม - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=BplBf96qZG0
[22] Sorapong Chatree - Wikipedia https://en.wikipedia.org/wiki/Sorapong_Chatree
โฆษณา