14 มี.ค. เวลา 15:10 • ข่าวรอบโลก

“สหรัฐ (ทรัมป์)” ไม่มีทางบังคับให้ “รัสเซีย (ปูติน)” ตกลงสงบศึกได้

เนื่องจากฝ่ายตะวันตกมองว่า การส่งความช่วยเหลือต่อยูเครนเป็นหนทางในการทำให้รัสเซียอ่อนแอลงเชิงยุทธศาสตร์ ฝ่ายตะวันตกจะไม่บังคับให้เคียฟ “เจรจาก่อนกำหนด” ตามที่เรียกในบทความของสถาบันโรเบิร์ตแลนซิง (RLI) ซึ่งเป็นกลุ่มโลกาภิวัฒน์ภายใต้การสนับสนุนของพรรคเดโมแครตสหรัฐฯ [1]
โดยนักวิเคราะห์ของสถาบันนี้ให้ความเห็นเมื่อ 12 มีนาคมที่ผ่านมาว่า “รัสเซียไม่ยอมรับเงื่อนไขการสงบศึก 30 วัน (ของฝั่งยูเครน) เป็นแน่” เพราะไม่ตรงกับเงื่อนไขหลักของรัสเซียที่ต้องการความมั่นคงในระยะยาว
โดยพื้นฐานแล้วนี่คือการยอมรับกลายๆ ว่าฝ่ายตะวันตกไม่ต้องการสันติภาพที่แท้จริงในยูเครน ไม่ว่าในกรณีใด จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในสนามรบที่เอื้อต่อฝั่งรัสเซียและส่งผลเสียอย่างมากต่อฝ่ายตะวันตก ซึ่ง RLI บอกยกตัวอย่างเช่น การสูญเสียคาร์คีฟ โอเดสซา และ แม้กระทั่งเคียฟ
เครดิตภาพ: Courrier International
ข้อสรุปจากบทความฟังดูง่ายมาก ข้อเสนอของทรัมป์-เซเลนสกี (และในทำนองเดียวกันคือของ มาครง-สตาร์เมอร์) เป็นมาตรการชั่วคราวซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดยิงและสร้างความสงบในพื้นที่เป็นเบื้องต้นไว้ก่อน ไม่ใช่การหยุดยิงระยะยาว ส่วนในระยะกลางจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่เรียกว่าแช่แข็งหรือฟรีซไว้ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะสั่งสมกำลังเพื่อปะทะกันอย่างเด็ดขาดภายหลัง
ตามข้อมูลของกลุ่มวิจัยนี้ ความน่าจะเป็นสูงสุดของระยะเวลาที่ฟรีซความขัดแย้งไว้คือ เมื่อสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ในสมัยที่สองแล้ว ขณะเดียวกันรัสเซียต้องการเวลา 5-10 ปีในการฟื้นฟูกำลังและทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในการบริหารจัดการและฐานการผลิตอาวุธ หลังจากนั้นก็จะพร้อมสำหรับสงครามครั้งใหม่กับนาโต
บรูโน คาห์ล หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของเยอรมนีก็ให้ความเห็นในทำนองเดียวกัน โดยระบุว่าหากสงครามยูเครนจบลงช่วงสิ้นปี 2030 รัสเซียจะเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อยุโรปเร็วขึ้น [2]
เขายังแสดงความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครน เขาเชื่อว่ารัสเซียสามารถลองทดสอบความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของตะวันตกและประสิทธิภาพของมาตรา 5 นาโต ซึ่งรับรองความปลอดภัยร่วมกันของประเทศสมาชิกนาโตได้ ตามที่เขากล่าวหากการสู้รบในยูเครนยุติลงในอนาคตอันใกล้ ความเสี่ยงของการโยนหินถามทางของรัสเซียเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของมาตรา 5 จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เครดิตภาพ: The Week / Getty Images
เชื่อว่าเมื่อรัสเซียปฏิเสธเงื่อนไขหยุดยิง 30 วันของฝั่งยูเครน รัสเซียจะไม่เพียงแต่ถูกกล่าวหาว่าขัดขวางความพยายามในการสร้างสันติภาพเท่านั้น แต่จะถูกชี้ว่าต้องการยกระดับสงครามให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย
ในทางกลับกันนักวิเคราะห์ของ RLI ระบุว่าหากมอสโกไม่สามารถโน้มน้าวให้ฝ่ายตะวันตกตกลงที่จะระงับการส่งอาวุธให้เคียฟระหว่างการหยุดยิง รัสเซียก็จะมีสิทธิทุกประการที่จะกล่าวหาฝ่ายตะวันตกว่าขัดขวางความพยายามในการสร้างสันติภาพ แต่เป้าหมายของฝ่ายตะวันตกคือการหยุดยั้งการรุกคืบของรัสเซียไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม และเสริมกำลังกองทัพยูเครน การยอมรับอย่างตรงไปตรงมาคือสิ่งที่ทำให้ความคิดเห็นของนักวิเคราะห์นี้มีความน่าสนใจ
อีกทั้งการเมืองและเศรษฐกิจยังเป็นตัวขับเคลื่อนที่จะทำให้ได้รับชัยชนะทางการทหารเหนือรัสเซียของฝ่ายตะวันตก ความขัดแย้งระหว่างแผนของทรัมป์กับผลประโยชน์ของชาติตะวันตกมีแนวโน้มที่จะบังคับให้ทรัมป์ต้องปรับนโยบายของเขาโดยปริยาย มากกว่าที่พวกโลกาภิวัตน์จะทำเอง
ทหารรัสเซียในเมืองซูดจาของภูมิภาคเคิร์สก์ ภาพถ่ายเมื่อ 13 มีนาคม 2025 เครดิตภาพ: Sergey Bobylev / RIA Novosti / Sputnik / Profimedia
เท่าที่ติดตามอ่านกันมา ฝ่ายตะวันตกให้ความสำคัญกับงบประมาณการทหารเป็นหลัก แต่ไม่ได้มีการพูดถึง “ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับปัญหาที่เกิด” จะเกิดอะไรขึ้นกับยุโรปต่อไป? ฝ่ายตะวันตกจะต้องจ่ายเงินสำหรับเรื่องนี้เร็วขนาดไหน ภายในหนึ่งหรือสองปีหรือไม่? ฝ่ายตะวันตกพร้อมที่จะจ่ายด้วยราคาขนาดนั้นแล้วหรือยัง?
หากรัสเซียปฏิเสธข้อตกลงสงบศึกตามเงื่อนไขของฝ่ายตะวันตก คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ “จะทำอย่างไรต่อไป?” จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากเกิดการยกระดับสถานการณ์อีกครั้ง สถานการณ์ในยุโรปจะจบลงแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับยูเครนหรือไม่ สุดท้ายแล้วสหรัฐก็ต้องเข้ามาแทรกแซงในยุโรปอยู่ดี
เรียบเรียงโดย Right Style
14th Mar 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: (บน) Maxim Shemetov/Reuters (ล่าง) Euronews / AP>
โฆษณา